bc

มาลัยนารี

book_age16+
165
ติดตาม
1K
อ่าน
จบสุข
ดราม่า
ออฟฟิศ/ที่ทำงาน
ปิ๊งรักวัยเด็ก
like
intro-logo
คำนิยม

นิยายขนาดสั้นสี่เรื่องที่ร้อยเรียงกันอยู่ในเล่มเดียว ให้ชื่อว่ามาลัยนารี เพราะสตรีเปรียบเหมือนดอกไม้ เล่มนี้มีเรื่องราวของหญิงสี่คนที่ต่างพบเจอประสบการณ์ชีวิตอันหนักหนาจนถึงขั้นสาหัส แต่พวกเธอก็สามารถพบทางออก ทั้งจากการใช้สติปัญญาไตร่ตรอง จากการช่วยเหลือของครอบครัว จากการคลี่คลายตัวของสถานการณ์ และจากการได้รับคำแนะนำที่ถูกควร เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 16+++

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
กิ่งแก้ว (1)
บทที่ 1 จุดเริ่มต้น หัวค่ำของวันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564 กิ่งแก้วเดินงอตัวออกมาจากห้องน้ำ เลือดสดๆ ทำท่าจะหยดออกมาจากจมูก เธอหงายหน้าขึ้นและรับรู้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลลงคอ เธอเกาะขอบประตูไว้เพื่อพยุงร่าง “แหม ขอโทษนะที่รัก ผมหนักมือไปหน่อยคราวนี้ หันหน้ามาหน่อยซิ ขอหอมที” ชายหนุ่มที่ยืนคอยทีอยู่ด้านนอกพูดเสียงอ่อน เขาสืบเท้าเข้ามาทำท่าจะกอดรับขวัญกิ่งแก้วอย่างเคย ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเขาซ้อมเธอจนสะบักสะบอม เธอคลานหนีเข้าห้องน้ำและเก็บตัวอยู่ในนั้นครู่ใหญ่ หญิงสาวเบี่ยงตัวหนี เธอต้องใจแข็งไม่ยอมให้เขาถูกต้องเนื้อตัวเธออีก “บรรจบ คุณกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก พอกันที” กิ่งแก้วเอ่ยพลางดึงทิชชูจากห่อพลาสติกมาซับเลือดใต้จมูกที่ไหลย้อยเข้าปาก เธอเพ่งมองเงาตัวเองจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็กที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งในห้องดังกล่าว เธอเห็นหญิงสาวผู้มีริมฝีปากบวมเจ่อ เบ้าตาฟกช้ำ แก้มขวาเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วง ผมที่ซอยสั้นยุ่งเหยิงจากการถูกกระชากด้วยแรงโทสะของชายผู้ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง เธอรู้สึกเจ็บแน่นที่แผ่นอก ต้นแขนขวาของเธอมีร่องรอยของการถูกชกอย่างแรง บรรจบเป็นคนถนัดซ้าย ทุกครั้งที่เขาโมโหขึ้นมาแขนข้างนั้นจะง้างเป็นวง กำปั้นที่ปลายแขนจะระดมเข้าใส่ใบหน้าและเนื้อตัวของเธออย่างไม่ยั้ง “มึงไล่กูเหรอ อีทอม!” ชายหนุ่มกำมือซ้ายอีกครั้ง หญิงสาวหลบตาเขาและก้าวช้าๆ ไปที่เตียงนอน เขามองอย่างสงสัยว่าเธอจะทำอะไร กิ่งแก้วประคองตัวนั่งลงที่ริมเตียงแล้วทอดกายกอดหมอนไว้ เขายักไหล่ด้วยความสมน้ำหน้าที่เห็นอาการบอบช้ำของหญิงสาว เขาคลายกำปั้นและหันหลังเดินไปยังตู้เย็นที่ตั้งอยู่มุมห้อง เขาอยากได้เบียร์เย็นๆ ดื่มหลังจากวาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยไปแล้ว สักประเดี๋ยวเขาจะเข้าไปปลอบประโลม พูดคำหวานโลมเล้า และจะทำให้เธอพอใจด้วยลีลากายกรรมในแบบที่เธอชื่นชอบ หลังจากนั้นเขาจะขอให้เธอช่วยจ่ายค่าน้ำมันรถให้เขาอย่างที่เธอเคยจ่ายทุกครั้ง ทันใดนั้นกิ่งแก้วยันตัวขึ้นยืนและคว้าโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงกำไว้แน่น เธอลากขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งแล้วล็อกประตูดังกริก หญิงสาวยืนหันหลังยันประตูไว้ขณะกดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ยี่สิบนาทีจากนั้นผู้จัดการอพาร์ตเมนต์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนายก็มาถึงห้องพักหมายเลข 306 ทั้งสองเคาะประตูหลายครั้ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับผู้จัดการจึงใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้าไป บรรจบไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแล้ว กิ่งแก้วโผล่ร่างออกมาจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงเรียก เธอกล่าวขอบคุณผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แนะนำให้เธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลและดำเนินการแจ้งความในขณะที่ยังมีหลักฐานชัดเจน เมื่อสุภาพบุรุษทั้งสองกลับไปแล้ว กิ่งแก้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง เธอมองสารรูปตนเองอีกครั้ง....   ....หกเดือนที่ผ่านมา.... “แดงอีกแล้ว บ้าชิบ!” กิ่งแก้วสบถจากหลังพวงมาลัยเมื่อมองเห็นจากระยะไกลว่าไฟจราจรด้านเธอเปลี่ยนสีอีกครั้งในรอบสามนาที ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางออกอาการบึ้งตึงขณะมือซ้ายเปลี่ยนเกียร์รถเร่งความเร็วไประยะหนึ่ง แล้วรถทุกคันก็ต้องชะลออีกครั้งจากไฟจราจรที่กำลังเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง กิ่งแก้วเหยียบเบรกกึกห่างจากทางม้าลายสองช่วงคันรถเพื่อเว้นระยะให้เหล่ามอเตอร์ไซค์ได้มีที่จอด เธอมีสีหน้าพอใจขณะเพ่งสายตามองกระจกข้าง เธอเห็นบรรดานักบิดต่างประคองรถไต่ตามกันขึ้นมาเรียงแถวต่อกันเบื้องหน้ารถเธอ บางคนเหลียวหลังมาค้อมศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ กิ่งแก้วรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อมองเห็นว่าการเว้นที่ว่างของเธอได้ช่วยให้ชาวเนื้อหุ้มเหล็กมีชีวิตง่ายขึ้น แม้จะเพียงสี่สิบห้าวินาที พวกเขาสมควรได้รับน้ำใจจากคนขับรถใหญ่ เธอมองเด็กชายในชุดนักเรียนประถมที่เกาะเอวบิดาไว้แน่น เขาสวมหมวกกันน็อกใบใหญ่กว่าศีรษะตนเอง เป้ที่สะพายไว้ดูเหมือนใส่สมุดหนังสือรวมกันกว่ายี่สิบเล่ม เธอเหลียวขวามองรถคันงามที่จอดอยู่อีกเลนหนึ่ง เด็กชายหญิงสองคนกำลังนั่งกินอาหารที่เบาะหลังโดยมีคนป้อน พวกเขาไม่ต้องทรงตัวใช้ขาคร่อมพาหนะอย่างเด็กชายคนนั้น กิ่งแก้วมองหญิงผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ริมฝีปากแดงกำลังขยับจากการพูดโทรศัพท์ เธอค้อนขวับแล้วเมินหน้าไปทางอื่น อันที่จริงกิ่งแก้วมีความรู้สึกหมั่นไส้ผู้หญิงทุกคนที่แต่งหน้าทาปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขับรถยี่ห้อดี “พวกเมียน้อยมั้งนี่ถึงได้ขับรถแบบนี้ได้” กิ่งแก้วนึกขวางอยู่ในใจ เสียงแตรแป๊นๆ จากแท็กซี่ด้านหลังดังขึ้นเมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กิ่งแก้วมองกระจกหลังและสบตากับหนุ่มคนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าว เธออยากจอดแช่อยู่ตรงนั้นอีกสักหนึ่งไฟแดง “จะแกล้งมันหน่อย” เธอคิด แต่เมื่อตระหนักว่าคนหาเช้ากินค่ำอย่างโชเฟอร์คนนี้คงมีจุดเดือดต่ำ เขาอาจพุ่งชนท้ายรถเธอเพื่อความสะใจ แล้วจากนั้นเธอจะเสียเวลาอยู่ที่กลางสี่แยกนี้อีกพักใหญ่กว่าจะแยกย้าย รถเก่าของเธอมีประกันชั้นหนึ่ง เธอยอมเสียเงินปีละสองหมื่นกว่าบาทเผื่อไว้ในกรณีอุบัติเหตุใหญ่ แต่กระนั้นเธอก็คอยระแวดระวังที่จะไม่มีเรื่องกับรถสาธารณะ เพราะเธอรู้ว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่า กิ่งแก้วเข้าเกียร์หนึ่งและเคลื่อนรถตามหลังมอเตอร์ไซค์ที่พากันเหินบินไปอย่างเริงร่า เธอยิ้มออกมาขณะมองตามท้ายรถของพวกเขา ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์กิ่งแก้วขับรถออกจากอพาร์ตเมนต์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่ทำงานประมาณยี่สิบห้ากิโลเมตร ในระยะทางดังกล่าวเธอมักสังเกตพฤตกรรมบนท้องถนนและสองข้างทาง บ่อยครั้งที่เธอสบถก่นด่าด้วยภาษาหยาบคายอันเป็นคำพูดที่เธอไม่เคยพูดต่อหน้าคนอื่น เพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์และคนในที่ทำงานไม่เคยได้ยินถ้อยคำพวกนี้จากปากของกิ่งแก้วผู้วางตนสุภาพ เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ ตรงเวลา ใช้ชีวิตอย่างมีวินัยและขยันหาความรู้ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติเด่นของกิ่งแก้วตามที่ทุกคนรู้จัก กิ่งแก้วผู้มีอายุ 27 ปี ทำงานที่ “สำนักบริการข้อมูล” สังกัดองค์กรพัฒนางานวิจัยเชิงสังคมซึ่งดำเนินงานโดยเอกชน เธอมีเงินเดือนระดับมาตรฐานตามลักษณะงานที่ใช้ความรู้ความสามารถด้านไอที เธอทำงานมาแล้ว 3 ปีหลังจากเรียนจบ แผนกงานที่กิ่งแก้วสังกัดอยู่นั้นมีเจ้าหน้าที่เพียงสามคน คนหนึ่งทำหน้าที่ธุรการและเลขาฯ อีกคนหนึ่งคือหัวหน้าสำนักงาน ส่วนกิ่งแก้วอยู่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการข้อมูล งานหลักของเธอคือการจัดเก็บเอกสารงานวิจัย สิ่งพิมพ์ และรายงานต่างๆ ขององค์กรในรูปแบบดิจิทัล ตลอดเวลาสามปีกิ่งแก้วทำงานในความเงียบอย่างโดดเดี่ยวและไร้ตัวตน เธอไม่ต้องพบปะผู้คนใดๆ นอกจากนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์และลงทะเบียนเอกสารทุกอย่างที่กองอยู่บนโต๊ะ เธอติดต่อกับผู้ที่ขอข้อมูลโดยการรับ-ส่งไฟล์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่เห็นหน้า ไม่มีการพูดคุย ไม่มีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัว และไม่มีความก้าวหน้า นอกจากเป็นงานที่เธอทำไปในแต่ละวัน มีเงินเดือนในระดับที่เธอพอใจแม้ว่ามันไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นมากนักตลอดสามปีที่เธอปฏิบัติหน้าที่ แต่ลักษณะงานเช่นนี้เหมือนจะตรงกับจริตของกิ่งแก้วผู้มีความทะเยอทะยานน้อย แม้ว่าด้วยความรู้ความสามารถที่เธอมีนั้นเธออาจหางานใหม่ได้ไม่ยากนัก แต่กิ่งแก้วรู้สึกสบายใจกับที่ทำงานแห่งนี้ เธอนั่งทำงานคนเดียวในห้องใหญ่ เธอสวมใส่กางเกงไปทำงานได้ ผมเผ้าเธอไม่ต้องทำอะไรมากมายนัก แค่หวีปัดให้เรียบร้อยเท่านั้นเป็นพอ เธอไม่ใช่คู่แข่งกับใครในเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือการแต่งตัว นฤมลผู้เป็นหัวหน้าสำนักงานออกพอใจด้วยซ้ำที่กิ่งแก้วมีลักษณะเหมือนทอมบอยและไม่เรื่องมาก ส่วนสุวดีวัยสี่สิบกว่าผู้เป็นเลขาฯ สำนักงานนั้นแต่งกายเรียบง่ายและประหยัดอย่างที่สุด เธอสวมใส่เสื้อผ้าซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชุดแต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เธอมีท่าทางเหนื่อยล้าอยู่เสมอเพราะเธอต้องเลี้ยงดูสมาชิกหลายคนในบ้านและสัตว์เลี้ยงอีกหลายตัว เธอนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน พ่อแม่และพี่น้องของกิ่งแก้วเป็นเจ้าของร้านสรรพสินค้าอยู่ที่ต่างจังหวัด กิ่งแก้วเป็นลูกสาวคนเล็กที่พ่อแม่ตามใจให้เรียนหนังสือถึงระดับอุดมศึกษา เมื่อเรียนจบเธอเขียนใบสมัครงานไปยังองค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่ง กิ่งแก้วไม่ต้องการทำงานบริษัทที่แสวงหาผลกำไร เธอต่อต้านความร่ำรวยที่ได้มาจากการเอาเปรียบประชาชนคนรากหญ้า พ่อแม่เรียกเธอว่า “ไอ้ลูกหัวเอียงซ้าย” ด้วยความเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ เมื่อยังเล็กกิ่งแก้วนั่งสามล้อไปโรงเรียนทุกวัน พ่อแม่เธอจ้างลุงมีให้คอยรับ-ส่งเธอทุกเช้า-เย็น บ่อยครั้งลุงมีต้องแวะตามทางเพื่อจอดรับเพื่อนของกิ่งแก้วที่เดินตัวเอียงหิ้วกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ กิ่งแก้วมักนำขนมและผลไม้ไปเผื่อพวกเพื่อนเหล่านั้น “หนูแบ่งให้เพื่อนกินด้วย เขาจนกว่าหนูเยอะ” เธอบอกแม่เมื่อถูกจับได้ว่าหยิบของกินใส่ถุงไปมากมายบ่อยครั้ง ขณะที่ใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย กิ่งแก้วเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ตลอดห้าปีของการศึกษา เธออยู่แถวหน้าของผู้ประท้วงทุกกิจกรรม เธอช่วยเขียนป้ายประท้วงเรียกค่าครองชีพให้คนหาเช้ากินค่ำ เธอนั่งประท้วงร่วมกับชาวสวนเรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคาลำไยที่ผลผลิตตกต่ำ เธอช่วยประท้วงให้กับทุกประเด็นที่มีคนชักชวนให้เข้าพวกเข้ากลุ่ม เธอทำตัวเป็นกันเองกับทุกบุคคลที่เธอได้พบเจอ “เราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน” เธอให้เหตุผลกับตัวเอง บ่อยครั้งที่เธอให้เพื่อนฝูงหยิบยืมเงินจากความที่เธอมีนิสัยเอื้อเฟื้อไม่เลือกหน้า เธอเคยเลี้ยงดูบรรดานักดนตรีเพื่อชีวิตซึ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย เธอออกเงินซื้อข้าวให้พวกเขากิน ซื้อบุหรี่ให้พวกเขาสูบ เธอช่วยยกเครื่องดนตรีของพวกเขาไปร่วมการประท้วงขับไล่อธิการบดี ครั้นเมื่อกิ่งแก้วเรียนจบ พ่อแม่ชักชวนให้เธอมาเปิดร้านขายของเช่นเดียวกับพี่น้องทั้งสามผู้มีครอบครัวแล้ว พี่ชายกิ่งแก้วสองคนเข้าหุ้นกันเปิดร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ น้องชายผู้อายุอ่อนกว่าเธอสองปีตั้งร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เขาแต่งงานเมื่ออายุ 22 กับลูกสาวเจ้าของโรงงานผลิตเสื้อยืดนักกีฬา ร้านค้าของเขามีนักเรียนมัธยมของโรงเรียนต่างๆ เป็นลูกค้าประจำ “ร้านหัวมุมเขาจะเซ้ง แก้วเอาไหม พ่อจะเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาให้ เดี๋ยวนี้คนนิยมออกกำลังกาย ไปไหนก็เห็นวิ่งกันคึกคัก พ่อว่ารองเท้าจ๊อกกิ้งนี่จะขายดีที่สุดเลยละ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถาม เวลานั้นกิ่งแก้วกลับมาอยู่บ้านเพื่อรอเรียกตัวเข้าทำงานจากทางกรุงเทพฯ “แก้วไม่อยากมีชีวิตติดร้านไปจนแก่แบบพ่อ” กิ่งแก้วตอบ “มันเป็นชีวิตที่พึ่งพาตัวเองได้นะ แก้ว ไปเป็นลูกจ้างเขานี่เขาจะไล่ออกเสียเมื่อไรก็ได้ เป็นเจ้าของร้านอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ไม่มีใครมาไล่เราออก อยากไปเที่ยวก็ปิดร้านไป ถ้าทำงานบริษัทเขาก็ใช้เราทั้งปี ให้เราลาได้ปีละสี่ห้าวัน เงินเดือนก็ให้เราแค่พอใช้ แก้วมาทำร้านของตัวเองให้ดีๆ มีเงินเก็บเดือนละเป็นแสน ไม่ต้องง้อผู้ชายให้มาขอไปเป็นเมีย จะอยู่เป็นโสดไปจนตายก็เรื่องของเรา” ชายวัยใกล้หกสิบพูดพลางมองลูกสาวด้วยสายตาเป็นห่วง กิ่งแก้วไม่ใช่คนหน้าตาสวย แต่ก็ไม่อัปลักษณ์ เธอดูเป็นธรรมชาติทั้งท่าทาง การพูด และการวางตัว เธอไม่ชอบนุ่งกระโปรงหรือตกแต่งร่างกายแบบผู้หญิงคนอื่น นอกจากนั้นเธอยังไม่พูดจาไม่เข้าหูคน เธอเป็นคนพูดตรง ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ขวางโลกเป็นบางครั้ง เขามองเห็นข้อดีหลายอย่างของลูกสาวผู้ “แหกคอก” แต่ข้อเสียของเธอก็มีตรงที่เธอเอื้อเฟื้อคนอื่นมากเกินไปจนทำให้ตัวเองลำบาก เขาสอนเธอว่าคนเราทุกคนต้องเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง เขามองเห็นว่าแต่ละบุคคลที่กิ่งแก้วยื่นมือเข้าไปอุ้มชูส่วนใหญ่นั้นเป็นคนเกียจคร้าน งอมืองอเท้า มีนิสัยชอบเป็นฝ่ายรับและชอบเอาเปรียบเธอ แต่กิ่งแก้วก็บอกกับบิดาว่าเธอมีความสุขกับการให้ฝ่ายเดียว เธอไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ  ไม่นานจากวันนั้นกิ่งแก้วก็ถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน เดือนต่อมาเธอย้ายเข้ากรุงเทพฯ พ่อแม่ให้เงินเธอก้อนหนึ่งสำหรับเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่อาศัยและซื้อรถมืองสองให้เธอไว้ขับ... ...กิ่งแก้วเหลือบตาดูกระจกมองหลัง รถแท็กซี่คันที่บีบแตรแป๊นๆ เมื่อสักครู่นี้แล่นตามหลังเธอมาเหมือนตั้งใจ โชเฟอร์กระพริบไฟสูงสองสามครั้ง กิ่งแก้วขมวดคิ้ว เธอชะลอรถ “อะไรของมันวะ” กิ่งแก้วพึมพำ มือของคนขับรถแท็กซี่โผล่ออกจากหน้าต่างด้านขวาและโบกหยอยๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นกิ่งแก้วตัดสินใจทำไฟเลี้ยวซ้าย เธอเบนหัวรถเปลี่ยนเลนเพื่อหาที่จอดริมถนน รถราวิ่งกันอยู่อย่างพลุกพล่านในช่วงเวลารีบด่วนก่อนแปดโมงเช้าเช่นนี้ ชายหนุ่มจอดแท็กซี่ต่อท้ายรถเธอ เขาชี้ที่ล้อรถและตะโกนบอก “ยางหลังแบนมากครับพี่ ขับไปจะอันตราย” กิ่งแก้วบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ เปิดประตู และก้าวสวบๆ ไปที่ท้ายรถ เมื่อมองเห็นยางที่แบนติดถนนเธอก็พยักหน้าหงึกๆ  อย่างเพิ่งเข้าใจสาเหตุที่เธอรู้สึกว่ารถแกว่งผิดปกติตั้งแต่ขับออกมาจากอพาร์ตเมนต์ เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่พ่อของเธอซื้อรถคันนี้จากเต็นท์รถมือสองให้เธอเมื่อสามปีที่แล้ว เธอยังไม่เคยเปลี่ยนยางเลยสักเส้น “แหม ขอบคุณมากเลยที่อุตส่าห์บอก” กิ่งแก้วพูดกับโชเฟอร์หนุ่มที่ออกจากรถมายืนข้างเธอ “ผมเห็นรถพี่ยางแบนตั้งแต่ไฟแดงที่แล้วเลยขับตามมาบอก” “สงสัยจะเรื่องใหญ่” กิ่งแก้วพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง “มีศูนย์ซ่อมอีกสองกิโลเมตรข้างหน้า ค่อยๆ ขับไปเดี๋ยวก็ถึงครับ” หนุ่มแท็กซี่บอกเธออย่างมีน้ำใจ เขามองหญิงสาวผมสั้นผู้สวมเสื้อเชิตลายตารางและกางเกงยีนส์ขาม้า รองเท้าหนังผูกเชือกดูทะมัดทะแมง “ฉันคงต้องทิ้งรถไว้ที่ศูนย์นั่น เดี๋ยวคุณตามไปรับฉันได้ไหม ฉันต้องไปทำงานต่อ” กิ่งแก้วพูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ เธอหันมองหน้าโชเฟอร์แท็กซี่หน้าตาดีที่ยิ้มรับและพยักหน้าอย่างเต็มใจ “ได้เลยครับพี่ เดี๋ยวผมขับตามหลังไป” กิ่งแก้วขับรถออกขวาอย่างช้าๆ ไปตามเส้นทางที่เธอขับอยู่ทุกวัน สิบนาทีต่อมาเธอก็เลี้ยวเข้าศูนย์ซ่อมรถ พนักงานในเครื่องแบบรีบวิ่งออกมาสอบถาม เธอแจ้งบอกไปว่าไม่ได้นัดไว้แต่รถเธอมีปัญหา ยี่สิบนาทีต่อมา หลังจากเซ็นชื่อในใบรายการสั่งซ่อมแล้ว กิ่งแก้วก็เร่งฝีเท้าออกมาขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่และเปิดประตูผู้โดยสารขึ้นไปนั่งข้างคนขับด้วยท่าทีเป็นกันเอง เธอบอกปลายทางชายหนุ่มซึ่งเขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกเธอว่าเขารู้จักย่านนั้นดี “ขอบคุณมากนะที่เตือนเรื่องยางแบน จริงๆ ฉันตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะเอารถเข้าอู่แล้วเช็คทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำสักที” “ที่ศูนย์นี้แพงนะครับ เพื่อนผมเคยเอารถมาเข้า ตัวเบาเลย” โชเฟอร์หนุ่มตอบ “มันก็จำเป็นน่ะ ฉันไม่รู้จักช่างที่ไหน ฉันเลยสั่งเช็คช่วงล่าง ให้เขาเปลี่ยนยางไปเลยสี่เส้น โช๊กอีกสองคู่ และให้เขาตรวจทั้งคันว่าตรงไหนชำรุด” “น่าจะหลายหมื่นเลยนะพี่” “นั่นสิ เขาประเมินคร่าวๆ ให้ดูในรายการเมื่อกี้ก็ประมาณสามหมื่น แต่เขาจะโทรบอกหากเจออะไรที่ต้องซ่อมอีก” กิ่งแก้วบรรยาย “แหม นี่ถ้าผมรู้ว่าพี่จะทำเยอะอย่างนี้ ผมจะบอกให้เพื่อนผมมารับรถพี่ไป เขาเป็นเจ้าของอู่ซ่อมเล็กๆ แต่ใช้อะไหล่ของแท้ทั้งหมด ยางดีมียี่ห้อ ช่างเขาก็เก่ง ราคาไม่แพง” โชเฟอร์พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายโอกาส “อ้อ อย่างนั้นหรือ ตอนแรกพี่ว่าจะเปลี่ยนแค่ยางคู่หลัง แต่เจ้าหน้าที่ศูนย์เขาบอกว่ายางมันหมดสภาพแล้วทั้งสี่เส้น แล้วเขาก็อธิบายว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนโช้กและเช็คช่วงล่างด้วยเพื่อความปลอดภัย” กิ่งแก้วอธิบาย เธอเปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “พี่” ตามที่ชายหนุ่มเรียกเธอ “เขาก็ว่าไปอย่างนั้นแหละครับ เขาเห็นผู้หญิงขับรถคนเดียวก็เอาเรื่องความปลอดภัยมาอ้าง จริงๆ เขาจะขายอะไหล่น่ะครับ” “อ้อ เข้าใจละ” กิ่งแก้วและโชเฟอร์แท็กซี่คุยกันต่ออย่างยืดยาว เขาให้ความรู้เธอเรื่องเครื่องยนต์กลไกของรถและวิธีการดูแล เขาบอกเธอว่าเขาเคยเรียนช่างกลแต่ไม่จบเพราะมีเรื่องกับอาจารย์ เขาเคยทำงานที่อู่รถมาหลายแห่ง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนมาขับแท็กซี่ “ช่วงแรกก็เช่าเขาขับ จ่ายรายวัน ตอนหลังผมตัดสินใจซื้อเงินผ่อน วางเงินดาวน์ไปก้อนหนึ่งแล้วก็วิ่งหาเงินส่งรายเดือน ช่วงปีแรกๆ พอได้เงินอยู่ แต่แย่ตรงโควิดมาเมื่อสองปีที่แล้วลากยาวมาถึงปีนี้ ผมนี่แทบทิ้งรถเลย” กิ่งแก้วฟังชายหนุ่มคุยเรื่องต่างๆ จนถึงที่ทำงานของเธอ เธอมองบัตรประจำตัวผู้ขับแท็กซี่ที่แปะไว้หน้ารถแล้วเรียกชื่อเขา “คุณบรรจบ ตอนเย็นมารับพี่ได้ไหม” “ยินดีครับพี่” ทั้งสองแลกไลน์และเบอร์โทรศัพท์กัน กิ่งแก้วจ่ายค่ารถและให้ทิปพิเศษแก่ชายหนุ่มหนึ่งร้อยบาท ช่วงกลางวันเธอได้รับแจ้งจากทางศูนย์ซ่อมรถว่ามีอะไหล่สำคัญชำรุด ซึ่งหากเธอยินยอมให้เปลี่ยนชุดใหม่ ทางศูนย์จะต้องเบิกจากที่อื่นและรอหนึ่งวัน พรุ่งนี้จึงจะรับรถได้ กิ่งแก้วตอบตกลงตามนั้น เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น บรรจบนำรถเข้ามาจอดรอหน้าสำนักงาน กิ่งแก้วเดินออกจากอาคารและเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งคู่กับเขาเช่นเดิม เธอบอกจุดหมายปลายทางคือที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ “ไปถูกไหม แถวศรีย่าน” “ผมคุ้นกับแถวนั้นอยู่แล้วครับพี่” บรรจบตอบ ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงขณะที่แท็กซี่คันนั้นขับไปตามเส้นทางประจำที่กิ่งแก้วใช้ เธอกับโชเฟอร์หนุ่มได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ที่สุดเธอก็บอกเขาเรื่องความคิดของเธอที่มีต่อสังคม “พี่ว่าเราทุกคนเท่าเทียมกันนะ บรรจบว่าไหม ไม่ว่าใครจะมีอาชีพอย่างไร ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมเราจะต้องมาถือชนชั้นวรรณะกันด้วยล่ะ” “แหม พี่พูดอย่างนี้ตรงใจผมเลย ตอนแรกผมก็ว่า เอ๊ ทำไมพี่ถึงขึ้นมานั่งคู่กับคนขับแท็กซี่อย่างผมโดยไม่รังเกียจ ทีนี้ผมรู้ละว่าพี่กับผมเป็นคนแบบเดียวกัน ผมเองก็ไม่ชอบคนที่ถือยศถือศักดิ์ ผมละเกลียดพวกถือตัว นี่ผมเดานะว่าพี่ชอบฟังเพลงเพื่อชีวิต” คำลงท้ายว่า “ครับ” เริ่มหายไปจากประโยคพูดของบรรจบ ซึ่งกิ่งแก้วไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าแปลกอันใด เพราะเขาคงเห็นว่าเธอเป็นมิตร ดีเสียอีกที่จะมีเพื่อนเป็นคนขับรถแท็กซี่ เธอหวนนึกถึงสมัยที่ตนเองเป็นนักศึกษา เธอมีเพื่อนเป็นชาวนา กรรมกร คนงานก่อสร้าง มีแม้กระทั่งผู้หลบหนีเข้าเมืองที่เธอช่วยหางานให้พวกเขาทำที่ตลาดสด เธอนั่งกินข้าวร่วมวงกับยามที่หอพักนักศึกษาและเคยกอดเอวซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์พวกเขาเข้าเมืองไปหาขนมกิน “เดาถูกเลย เก่งนี่” กิ่งแก้วยิ้มและทำท่าตบมือ “พี่จะกลับที่พักเลยหรือ จะแวะซื้อของก็ได้นะ ผมทำไฟแวบๆ จอดรอได้ ศรีย่านของกินอร่อยเยอะ” “ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นตกลง หาที่จอดเหมาะๆ แล้วพี่จะลงไปซื้อ” กิ่งแก้วพูดอย่างยินดีที่ชายหนุ่มมีน้ำใจ เมื่อบรรจบหาที่จอดรถริมทางเท้าได้แล้ว กิ่งแก้วก็กระวีกระวาดเดินไปซื้อบะหมี่ที่ร้านรถเข็นเจ้าประจำ เธอสั่งแบบพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งห่อ “ขอบคุณนะพี่” โชเฟอร์หนุ่มยกมือไหว้เมื่อเธอส่งถุงบะหมี่ให้พร้อมถ้วยโฟมและตะเกียบ “เดี๋ยวผมส่งพี่แล้วจะหาที่จอดรถกิน หิวข้าวตั้งแต่กลางวัน” กิ่งแก้วนึกเห็นใจชายผู้นี้ เขาบอกเธอว่าเขาอายุ 26 ปี ซึ่งอ่อนกว่าเธอเพียงปีเดียว แต่ชีวิตของเขาคงลำบากกว่าเธอมากนัก เธอนึกอยากบอกให้เขานั่งกินที่ริมถนนนี่เสียเลยจะได้หายหิว เธอจะรอให้เขากินจนเสร็จแล้วค่อยออกรถก็ได้ แต่เขาเอี้ยวตัวไปวางถุงบะหมี่ไว้บนพื้นด้านหลังที่นั่งของเขาแล้ว “ทำไมไม่กินข้าวกลางวันล่ะ” เธอถามขณะที่เขาตบไฟเลี้ยวขวาและพารถแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างรถสองคันอย่างว่องไว “พอดีผมได้ผู้โดยสารหลายต่อตั้งแต่ตอนสาย แต่ละเจ้าก็อยู่กันไกลๆ ทั้งนั้น คนแรกอยู่รามอินทรา คนต่อมาอยู่รังสิต แล้วจากรังสิตผมก็ขึ้นทางด่วนไปบางนา อีกคนไปศาลายา จนถึงคนสุดท้ายไปสุวรรณภูมิ นี่ พี่รู้เปล่า ไม่เคยได้ผู้โดยสารเยอะอย่างวันนี้เลย เป็นเพราะพี่นำโชคให้ตั้งแต่เช้า” บรรจบพูดอย่างอารมณ์ดี “แหมว่าไป” กิ่งแก้วยกมือปิดปากหัวเราะอย่างพอใจ “ไม่ได้กินข้าวกลางวันแต่ได้มาสามพันกว่าบาทก็คุ้มหิวแล้วพี่” บรรจบเลี้ยวรถเข้าประตูด้านหน้าของอพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นอาคารเก่าสูงแปดชั้น มีรถสารพัดชนิดจอดอยู่ด้านล่าง ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ รถแท็กซี่ รถตุ๊กๆ และรถมอเตอร์ไซค์นับสิบคัน มันบ่งบอกชัดเจนว่ามีผู้คนหลากหลายอาชีพอาศัยรวมกันอยู่ในอาคารนี้ “พรุ่งนี้ถ้าจะให้มารับตอนเช้าจะลำบากไหม บรรจบ ต้องไปรับผู้โดยสารที่ไหนหรือเปล่า” “ไม่ลำบากเลยพี่ ผมยกให้พี่เป็นแม่ย่านางรถคันนี้ละกัน พรุ่งนี้ผมคงได้ผู้โดยสารทั้งวันแน่” “ถ้าอย่างนั้นเจ็ดโมงเช้ามานะ พี่จะทำแซนด์วิชไว้ให้กินกลางวัน” กิ่งแก้วพูดยิ้มๆ เธอดูมิเตอร์และควักเงินให้เขาพร้อมกับบอกว่า “ไม่ต้องทอน” โชเฟอร์หนุ่มมองตามหลังหญิงสาวผมสั้นและหน้าตาไร้เครื่องสำอางผู้ทำตนเป็นกันเองกับเขา เขายิ้มกับตัวเองและออกรถไป

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

Trick or Treat แสบ... กวน... ป่วนเมือง !!

read
1K
bc

กับดักรักวันสงกรานต์

read
8.3K
bc

ลูกสาวของอาฉ่า

read
1K
bc

บอสเจ้าเล่ห์กับยัยสายเปย์ตัวแสบ

read
4.1K
bc

มาลินีและโสภี

read
1K
bc

ซ้อนกลรัก

read
1K
bc

Friend (เฟรนด์)

read
1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook