ตอนที่1.สาวเรณูนครกับหนุ่มยะลา
สาวเรณูนครกับหนุ่มยะลา
@ จังหวัดยะลา
ขบวนรถไฟด่วนพิเศษกรุงเทพฯ สุไหงโก-ลกจอดเทียบท่าที่สถานีรถไฟยะลา ทอฝันกระชับกระเป๋าเดินทางสีชมพูหวานแหววใบใหญ่กับกระเป๋าหิ้วใบเล็กอีกหนึ่งใบประคับประคองอย่างดีเหมือนกลัวของข้างในจะแตกหักและสะพายเป้อีกใบแนบหลัง
"ทอฝันลงแล้วนะคะ" หญิงสาวโบกมือลาผู้ร่วมทางเป็นผู้หญิงทั้งสองคนที่ใจดีกับเธอมากตั้งแต่สถานีรถไฟบางซื่อจนถึงที่นี่
เมื่อรถไฟจอดสนิทประตูเปิดออกอัตโนมัติเธอยกกระเป๋าลงแล้วลากไปตามทางเดินออกประตูหลังเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปจะเห็นป้ายคิวแท็กซี่เบนซ์ ยะลา-เบตง ฉันแอบคิดในใจรถแท็กซี่ที่นี่เท่ห์ดีเป็นเบนซ์คันเก่าโดยมีพี่โชเฟอร์คอยบริการอย่างเป็นมิตร
"ม่ายค่า..."ฉันปฏิเสธเขาแล้วกวาดสายตามองหารถปิกอัพสีดำตอนเดียวเลขทะเบียน1234เบตง
"พี่ซันเหล็กบอกว่าผู้ใหญ่บ้านมีเคราหน้าตาหล่อๆ"ฉันมองไปยังไม่เห็นว่าจะมีคนหล่อเลยซักคน
"เฮ้อ.... คุณพระคุ้มครองทอฝันด้วยนะคะ" ฉันยกมือไหว้พระท่วมหัว...คงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะมั้ง
ผู้หญิงตัวคนเดียวกับครั้งแรกในจังหวัดใต้สุดแดนสยามแบบนี้....
ทางด้านผู้ใหญ่หยวนที่ยืนกอดอกอยู่ข้างรถสวมเสื้อยืดสีขาวด้านในสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวลายสก๊อตกับกางเกงยีนส์ขาดๆสีเข้ม กับรองเท้าผ้าใบเก่าๆ หรี่ตามองเด็กสาวตัวเล็กผมยาวตาโต
ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่สมตัวสีชมพูแสบตายืนมองทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยท่าทางเก้ๆกังๆสวมหมวกบังแดดทำให้เขามองไม่ถนัด
ผู้ใหญ่หยวนมองเด็กสาวเทียบกับรูปในสมาร์ทโฟนไปมา "น่าจะใช่"
เมื่อแน่ใจเขารีบเดินไปหาแล้วนึกในใจ "พ่อแม่ก็ช่างกล้าปล่อยมาได้น้อคนเดียว"
"เฮ้อ! ....ไม่น่ามาเป็นผู้ใหญ่บ้านเลยหยวน"
เพราะซันเหล็กเพื่อนเขาขอร้องให้มารับแทนอ้างว่ามีธุระสำคัญ......
แต่โธ่เอ๊ย! ใครๆในเบตงต่างก็รู้ว่าซันเหล็กนั้นกลัวเมียขนาดไหน แค่อ้าปาก....เขาก็เห็นถึงลิ้นไก่แล้ว
"น้อง...น้อง" เขาตะโกนเรียกสำเนียงใต้และกวักมือพยายามบังคับเสียงไม่ให้ออกทองแดงมากเกินไป
ทอฝันได้ยินเสียงคนเรียกแล้วหยิบสมาร์ทโฟนดูรูปอีกทีผู้ชายที่ดูรุงรังแต่งตัวเหมือนจะเซอร์ก้ำกึ่งกับความสกปรก เมื่อเทียบดูอีกครั้งก็คลับคล้ายคลับคลา
"น่าจะใช่...ก็ตรงเครานั่นแหละ"ทอฝันดูในสมาร์ทโฟนเป็นรูปผู้ใหญ่บ้านในชุดข้าราชการหน้าตรงดูดีกว่าตอนนี้มาก
"ลองดูก่อน...."
"ทอฝันใช่ม้าย...."
เอ่อ...ฉันวางกระเป๋าเดินทางลงแล้วย่อตัวสวัสดีทำความเคารพ"สวัสดีค่ะ...น้าผู้ใหญ่"
นี่เขาแก่ขนาดนั้นเชียว...ที่จริงเรียกพี่บ่าวก็ได้ ผู้ใหญ่หยวนเกาเคราไปมา
ทอฝันหยุดยืนตรงหน้าเขายื่นกระเป๋าเดินทางให้ผู้ใหญ่ที่มีความสูงเกือบ190 เซนติเมตร ส่วนตัวเธอสูงแค่159เซนติเมตรแหงนหน้ามองไปทางใบหน้าของเขา
โอ๊ย....สูงโจ่นโพ่น (สูงมาก)
"น้าผู้ใหญ่รถจอดตรงไหนคะ?"
"คันน้าน" ผู้ใหญ่ชี้ไปยังทิศทางของรถที่จอดอยู่ทอฝันยิ้มรับดวงตาพราวระยับยามต้องแสงแดด แก้มนุ่มแดงปลั่งเพราะแดด
"ไปเถอะ..." เขาคว้ากระเป๋าเดินทางหยิบคันชักแล้วลากเหมือนของเบา มองไปที่กระเป๋าใบเล็กอีกใบในมือหญิงสาวทำท่าจะคว้าเอามา
"ไม่เป็นไรค่ะ...ทอฝันถือได้"
"ตามใจ" เขาชักมือกลับแล้วเดินนำหน้าไปยังรถของเขา เมื่อไปถึงก็พบกับลูกสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนนั่งอยู่ที่เบาะหน้าข้างคนขับ
"ลูกพ่อรอนานม้าย...." เขาทักมันแล้วลูบที่หัวอย่างรักใคร่ โยนกระเป๋าใส่ท้ายรถไม่ปราณี
ฉันยืนมองดูสภาพรถที่ประเมินด้วยสายตาว่ามันมาถึงเมืองยะลาได้ก็ถือว่าบุญแล้วแต่ถ้าสามารถกลับถึงเบตงได้ถือว่ากำไร
ฉันเอากระเป๋าใบเล็กวางท้ายรถอย่างทะนุถนอมแน่ใจแล้วว่ามันจะไม่ล้มแตกจึงอ้อมไปที่หน้ารถ
เขาไขกุญแจรถแล้วบอก "ขึ้นรถสิ....." ฉันกำลังจะเปิดประตูรถคิดในใจว่าเดี๋ยวมันคงไปนั่งรับลมท้ายรถกระบะเป็นแน่
"ข้างหลังโน่น"
"ฮะ...."ฉันใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าอกเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
"ลีโอมันขี้ร้อน...ที่ประจำของมัน" เขาบอกแล้วลูบหัวมันเบาๆ
"แต่ว่า. น้าผู้ใหญ่คะ มันร้อนไม่เห็นหรือไง" ฉันยืนหน้าบึ้งเท้าสะเอวมองเจ้าหมาเจ้าปัญหาที่นั่งยิ้มแลบลิ้นยาว
โฮ่ง..โฮ่ง...มันเห่าออกมาเหมือนหวงที่
"เออ...ก็ได้นั่งหลังก็ได้วะ" ก่อนไปฉันแอบตีหัวมันหนึ่งทีโทษฐานทำให้หมั่นไส้
โฮ่ง..โฮ่ง...มันเห่าอีก....
ฉันจำเป็นต้องนั่งท้ายกระบะใช้เท้าเหยียบกันชนแล้วตะปีนขึ้นรถที่มีเสื่อพลาสติกปูไว้รอแล้ว
นั่งพิงหลังกับรถหันหลังให้คนขับไม่อยากเห็นหน้าคนขับเมื่อเขาปิดประตูรถสตาร์ทเครื่องยนต์เตรียมตัวออกเดินทางฉันจึงตะโกนด่าฝากลมฝากแล้งไปว่า
"ไอ้ผู้บ่าวใจฮ้าย"
ได้ด่าคนระบายอารมณ์แล้วหยิบครีมกันแดดออกมาทาที่แขนขาวกระชับหมวกบักเก็ตอีกครั้ง
พรึ่บ!...."ใส่ซะ.." จู่ๆก็มีเสื้อยีนส์ลอยมาพร้อมกับเสียงของคนใจร้าย ฉันลองจับมาพลิกดูแล้วพิสูจน์กลิ่นก่อนเป็นอันดับแรก
"อืม...พอได้ไม่เปรี้ยว" พิสูจน์กลิ่นแล้วเป็นกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มแต่ก็ยังไม่กล้าใส่อยู่ดี แค่เอามาบังแดดที่แขนไว้ลวกๆ พอลองพลิกป้ายที่คอเสื้อติดยี่ห้อ Lees
"อืม.... ก็พอใช้ได้"
รถของอีตาผู้ใหญ่ที่มีหมาเป็นลูกพอได้สตาร์ทรถก็วิ่งฉิวแบบไม่ต้องเบรกออกจากตัวเมืองยะลาสู่เส้นทางชนบทวิวสองข้างทางเป็นภูเขาต้นไม้เขียวครึ้ม นานทีถึงจะเห็นบ้านคน
รถยังคงใช้ความเร็วอย่างต่อเนื่องจนฉันคิดว่ามันน่าจะบินได้ถ้าฉันไม่จับขอบกระบะไว้ตัวฉันคงลอยไปแล้วที่ก้นกบน้อยๆก็เหมือนจะร้าวระบม
จากที่คิดว่าจะร้อนแต่กลับไม่ร้อนมากอากาศเย็นสบายเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์มองต้นไม้ใบหญ้าแล้วสดชื่นแต่ก็แอบสวดมนต์ไปตลอดทาง
จับสร้อยพระที่สวมคอไว้แล้วนั่งอย่างสงบแม้จิตใจจะไม่เป็นเช่นนั้น
"หลวงพ่อเจ้าขา ขอให้หนูเดินทางปลอดภัยด้วยค่ะ"
โฮ่ง..โฮ่ง....ลีโอมันเห่าอีกแล้ว...
"เออ...ยังอยู่ดี" ฉันบอกมันไป
คนกับหมาก็คุยกันรู้เรื่องด้วย.....
จวบจนเวลาผ่านไปราวสามชั่วโมงก็ถึงเบตงผ่านหอนาฬิกา ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ ลอดเข้าในอุโมงค์ที่ขึ้นชื่อจนมาถึงจุดหมาย
สำนักงานเกษตรแห่งหนึ่งของเบตง.....โดยสวัสดิภาพ
แต่ฉันแสบตาจนน้ำตาไหลเพราะลมแรง
ปึง...ปัง...เสียงเปิดปิดประตูดังแทบจะพร้อมกันแล้วเดินมาที่ท้ายรถ
"ถึงแล้ว..."
ผู้ใหญ่หยวนเขานับถือจิตใจหญิงสาวที่นั่งนิ่งไม่โวยวายอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่คนนอกพื้นที่มักคิดว่าเส้นทางจังหวัดนี้อันตรายมากๆ
"ลงได้แล้ว..."
@@@@@@@@
ออนไรท์