2.เปรี้ยวจี๊ดสมชื่อ
จากตอนแรกที่มีนัดสังสรรค์กับเพื่อนก็ต้องยกเลิกนัดกะทันหัน ใครจะรู้ว่าอยู่ดี ๆ จะมีหนุ่มเมืองกรุงมาโผล่แถวนี้ ฉันจึงต้องเอาเวลาที่จะไปสังสรรค์มาเก็บกวาดห้องให้คนมาใหม่แทน
อดกินลาบบ้านงานเลยเห็นไหม!
ที่จริงก็ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ที่คุณป้าเอ่ยบอกถึงจะมีคนมาอยู่ด้วย เพราะก่อนที่ท่านจะกลับก็ได้เอ่ยปากบอกฉันไว้แล้ว และเราก็ได้คุยกันนานพอสมควรกับเรื่องนี้ ฉันจึงไม่มีปัญหาหากอีกฝ่ายจะมาอยู่เป็นเพื่อนในช่วงนี้
พูดตามตรงก็กลัวนั่นแหละ ถึงจะเป็นสาวเปรี้ยวเยี่ยวราดแต่ก็เป็นผู้หญิง แถมยังเป็นผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียวจึงไม่ได้เล่นตัวอะไรให้มากความ ยังดีกว่าได้นอนคนเดียวท่ามกลางไร่นาล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งผีทั้งคนน่ากลัวพอ ๆ กัน
“เรียนจบแล้วไม่คิดจะทำงานหรือไง” เสียงของคนที่นั่งรออยู่บนเตียงไม้เอ่ยถามทำให้ฉันต้องเหลือบตามอง
“ก็ทำ”
“ไม่เห็นทำ”
“จะเห็นทำได้ไงก็เพิ่งมา”
“ถึงไม่มาก็รู้ว่าไม่ทำ”
จากตอนแรกที่ก้มถูพื้นบ้านก็ต้องยืดตัวขึ้น มือเท้าสะเอวจ้องมองอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังกวนประสาทเป็นอย่างมาก
“เลี้ยงควายจบไหม”
เพียงเท่านั้นคิ้วเข้ม ๆ ก็ยกขึ้นสูงพร้อมปากระบายยิ้มออกมาเหมือนคนอารมณ์ดี ซึ่งไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เห็นหน้ากันเขายิ้มไปกี่รอบแล้ว และเป็นยิ้มที่กวนมาก ๆ เลยก็ว่าได้
“ยิ้มหยัง”
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม”
“จะเสร็จไหมห้องวันนี้ หรือแกล้งทำช้า ๆ เพราะอยากอยู่ในนี้นาน ๆ”
“อี๋ ผู้ได๋สิอยากอยู่นำ หลงเจ้าของ!” (อี๋ ใครจะอยากอยู่ด้วย หลงตัวเอง!) ว่าเท่านั้นก็รีบถูห้องอย่างเร่งรีบ และใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ถูเสร็จพร้อมมือรีบยกถังน้ำขึ้นมาถือทันที
“ทำให้แค่วันนี้นี่แหละ ที่เหลือก็ทำเอง”
“…”
“รู้จักไหมสิทธิเท่าเทียม มีแขนมีขาเหมือนกันก็ทำช่วยกัน” ว่าเท่านั้นก็เดินออกมาจากห้องดังกล่าวทันที เพราะกลัวอีกฝ่ายจะหาว่าฉันอยากอยู่ด้วยจึงไม่สนใจอะไรให้มากความ
ผู้ชายอะไรหลงตัวเองที่สุด ถึงเขาจะหล่อเหลาเอาการอย่างกับโอปป้าเกาหลีหน้าใสตัวชมพูก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะพิศวาสเขาสักหน่อย!
นอกจากจัดเตรียมห้องแล้วอีกหนึ่งหน้าที่ของฉันก็คือต้องทำอาหารให้คุณเขาอีกต่างหาก ซึ่งตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเขามาอยู่เป็นเพื่อนหรือมาอยู่เป็นภาระกันแน่
เปรี้ยวจี๊ดเอ๊ย… อยู่ดีไม่ว่าดีก็ต้องได้มาดูแลผู้ชายที่ไม่ใช่ผัว
คิดถูกหรือคิดผิดก็ไม่รู้!
“ทำอะไร” เสียงของคนมาใหม่ดึงสติฉันกลับมา สองตาเหลือบมองไปยังคนร่างสูงก็ต้องเห็นเขานั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนไม่ไกลจากห้องครัว และเป็นการนั่งที่กวนประสาทมากพอสมควร คนบ้าอะไรยิ้มได้ตลอดเวลา
“มองหน้า?”
“แล้วเห็นทำอะไร”
“เห็นถือตะหลิว”
“ก็ตามนั้น”
“กวนดี” น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง “ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่รอดมาจนอายุยี่สิบสี่ปี”
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะอยู่รอดมาจนถึงสามสิบสี่ปีเหมือนกัน” ฉันตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ “แต่ก็เข้าใจแหละ…”
“เข้าใจว่าอะไร”
“ก็เข้าใจในสิ่งที่คุณเป็นไง”
“เป็นอะไร?” และแล้วเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม จากที่นั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนก็มายืนให้เห็นในระยะสายตา แถมตายังจ้องมองฉันอย่างสงสัยอีกต่างหาก
“แล้วคุณเป็นอะไรล่ะ” ว่าแล้วก็ยกยิ้มบางเบา “ไม่ต้องอายหรอกคุณโลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เราต่างเปิดรับในสิ่งที่ทุกคนเป็น ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็คนเหมือนกันทั้งนั้น”
“ผมไม่ได้อาย” เขาส่ายหน้าน้อย ๆ “แค่อยากบอกไว้ว่าผมเป็นผู้ชาย”
“ก็บอกว่าไม่ต้องอาย”
“หรือจะพิสูจน์?”
“พิสูจน์อะไร ถอยออกไปนะ!” ฉันเอ่ยเสียงดังเมื่ออีกคนย่างกายเข้ามาใกล้พร้อมสีหน้าที่จริงจัง ตะหลิวที่อยู่ในมือชี้ไปข้างหน้าอย่างข่มขู่ ไม่ต่างจากอีกมือที่คว้ามีดขึ้นมาจ่อไปทิศทางเดียวกันกับตะหลิว
“กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรือไง”
“ใช่! ถ้าไม่อยากตายก็ถอยออกไป!”
“ไม่อยากรู้แล้วเหรอว่าผมเป็นเพศอะไร?” นอกจากจะไม่กลัวแล้วยังยกยิ้มชอบใจอีกต่างหาก ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองฉันนิดหน่อยก็พยักพเยิดไปยังกระทะด้วยความอารมณ์ดี “ไหม้แล้ว”
“ถอยออกไป!”
“ที่จริงไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนก็ได้มั้ง” เขายอมถอยห่างออกจากฉันในขณะที่ฉันยังมองเขาอย่างหวาดระแวง “เก่งขนาดนี้เอาตัวรอดได้แน่นอน”
“…”
“อยู่คนเดียวไม่น่าจะเป็นอะไร”
เกิดความเงียบชั่วขณะเพราะฉันไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใด อีกใจก็นึกหวาดระแวง แต่อีกใจก็นึกกลัวว่าเขาจะตีรถกลับเมืองกรุงจริง ๆ
มันก็จริงที่ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด แต่ระหว่างนั้นฉันอยู่กับตามันจึงไม่น่ากลัวเหมือนทุกวันนี้ พอตาจากไปก็ให้เพื่อนมานอนด้วยเพราะรู้สึกกลัวหลายอย่าง ทั้งคนทั้งผีปะปนกันไป
ครั้นจะให้เพื่อนมานอนด้วยทุกคืนก็รู้สึกเกรงใจเพราะต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะแบบนี้ฉันจึงนึกกลัวหากเขาจะตีรถกลับเมืองกรุงแล้วเหลือแค่ฉันคนเดียวอย่างเฉกเช่นทุกวัน
“ที่จริงดูจากบรรยากาศรอบบ้านแล้วก็วังเวงอยู่เหมือนกัน แถมยังเปลี่ยวมากอีกต่างหาก”
“หยุดพูดนะ”
“กลัว?”
“ไม่กลัวสักหน่อย” ฉันทำปากแข็งแล้วตัดสินใจหันกลับมาสนใจอาหารในกระทะต่อ แต่ตาก็ไม่วายเหลือบมองผู้อาศัยเป็นระยะ
“ไม่กลัวก็ดี จะได้อยู่คนเดียวได้”
“คุณอยากกลับเมืองกรุงก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้างหรอก”
“อยากกลับอยู่แล้ว ก็บ้านอยู่ที่นั่น” เขาตอบกลับมาด้วยความยียวนกวนประสาทเหมือนเดิม “ใครจะอยากอยู่นี่กับผู้หญิงที่จะเอามีดแทงตัวเองจริงไหม”
“แล้วใครบอกให้คุณขยับเข้ามาใกล้ล่ะ” ฉันหันไปแหวทันทีทันใด “อีกอย่างคุณป้าเป็นคนบอกเองว่าถ้าคุณเข้าใกล้ฉันเกินหนึ่งเมตรให้หาอะไรทุบหัวคุณได้เลย”
“…”
“ฉันไม่เอามีดเสียบไส้ทะลักก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ก็เก่งแบบนี้อยู่คนเดียวไปก็แล้วกัน” เขาไม่ได้สนใจกับคำพูดฉันแล้วเดินตัวปลิวออกไปจากห้องครัวทันที เห็นเช่นนั้นจึงรีบปิดแก๊สแล้วสาวเท้าเดินตามออกไปติด ๆ
“คุณจะไปไหน”
“เก็บของกลับบ้าน”
“ได้ไง”
“ทำไมจะไม่ได้?” คิ้วเข้มยกขึ้นเล็กน้อย ส่วนตาก็ฉายความสงสัยออกมาให้เห็น “ใครจะกล้าอยู่ด้วย เผลอ ๆ นอนอยู่ดี ๆ เอามีดมาไล่เสียบตอนกลางคืนจะทำไง”
“ใครจะบ้าเอามีดไล่เสียบคุณตอนกลางคืน”
“คุณไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“ใช่ชัด ๆ เมื่อกี้ก็เกือบโดนแล้ว”
“ขอโทษก็ได้” ฉันยอมอ่อนลงเพราะกลัวเขาจะกลับเมืองกรุงจริง ๆ “แต่ถ้าคุณไม่เดินเข้ามาใกล้ฉัน ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“…”
เป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบระหว่างเรา คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ายังยืนมองฉันนิ่งไม่พูดไม่จา ส่วนฉันก็มองเขาเช่นกันเพราะอยากรู้อีกฝ่ายจะพูดว่าอะไร
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้มองหน้าผู้ชายคนนี้เต็ม ๆ ตาแบบนี้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่หล่อมาก หล่อที่สุดในดงบ้านดอนแล้ว หล่อแบบดาราก็ไม่ปาน
คิ้วเข้มเส้นเรียงตัวสวยงาม ตาคมรับกับรูปหน้า จมูกโด่งเป็นสันเข้ากับปากหยักสีชมพูดูเหมือนคนสุขภาพดี ส่วนหุ่นกับสีผิวไม่ต้องให้เล่าใช่ไหมว่าเป็นยังไง ทั้งขาวโอโม่และสูงยาวเข่าดีเป็นที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลพูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อปังอลังการมาก!
“อ่านกิน?”
“ใคร…ใครอ่านกินคุณ” ฉันดึงสติกลับมาพลางมองไปทางอื่นเมื่อถูกจับได้
“คุณไง เห็นจ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ” และจังหวะนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงมาให้ตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน “แถมยังกลืนน้ำลายอีกต่างหาก”
“ไม่ใช่ซะหน่อย!”
“หลักฐานเห็นคาตา”
“หลงเจ้าของคักเนาะ”
“ฟังไม่ออกก็ไม่รู้สึก” เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วเดินเลี่ยงออกไป แต่มีหรือว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“คุณจะไปไหน”
“กลับบ้าน”
“ขอโทษไปแล้วยังไม่พอใจอีกหรือไง”
“ไม่พอใจ” แล้วเขาก็หยุดเดินพร้อมหันมามองฉัน “ถ้าพูดให้เขาหูกว่านี้จะยอมอยู่เป็นเพื่อน”
“เข้าหูอะไร”
“แทนตัวเองด้วยชื่อ และเรียกพี่ว่าพี่ธีร์ด้วย”
“ไม่เอาอะ ไม่สนิทกันจะมาเรียกได้ไง” ฉันส่ายหน้าพัลวัน “เรียกไม่ลงหรอก”
“งั้นก็ตามใจ” แล้วเขาก็เดินขึ้นบ้านไป ส่วนฉันก็ทำได้แค่มองหน้ามองหลังเพราะไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตในตอนนี้
“พี่ธีร์… พอใจยัง!” สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงักได้ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันมามองฉันยิ้ม ๆ ราวกับว่ากำลังประกาศตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ
“เรียกให้ตลอดด้วยล่ะ”
ฉันไม่ได้ตอบรับแล้วเดินกลับเข้ามาในครัวเหมือนเดิม และเมื่อโผล่หน้าไปยังกระทะทอดปลาก็ปรากฏว่าปลาตัวดังกล่าวดำมืดไปแล้วเรียบร้อย สรุปได้เลยว่าไหม้เกรียมจนกินไม่ได้แล้ว
เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นคนเดียวเลย เป็นตาซัง!