บทที่ 2 เปรี้ยวจี๊ดสมชื่อ (1/2)

1757 คำ
2.เปรี้ยวจี๊ดสมชื่อ จากตอนแรกที่มีนัดสังสรรค์กับเพื่อนก็ต้องยกเลิกนัดกะทันหัน ใครจะรู้ว่าอยู่ดี ๆ จะมีหนุ่มเมืองกรุงมาโผล่แถวนี้ ฉันจึงต้องเอาเวลาที่จะไปสังสรรค์มาเก็บกวาดห้องให้คนมาใหม่แทน อดกินลาบบ้านงานเลยเห็นไหม! ที่จริงก็ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ที่คุณป้าเอ่ยบอกถึงจะมีคนมาอยู่ด้วย เพราะก่อนที่ท่านจะกลับก็ได้เอ่ยปากบอกฉันไว้แล้ว และเราก็ได้คุยกันนานพอสมควรกับเรื่องนี้ ฉันจึงไม่มีปัญหาหากอีกฝ่ายจะมาอยู่เป็นเพื่อนในช่วงนี้ พูดตามตรงก็กลัวนั่นแหละ ถึงจะเป็นสาวเปรี้ยวเยี่ยวราดแต่ก็เป็นผู้หญิง แถมยังเป็นผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียวจึงไม่ได้เล่นตัวอะไรให้มากความ ยังดีกว่าได้นอนคนเดียวท่ามกลางไร่นาล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งผีทั้งคนน่ากลัวพอ ๆ กัน “เรียนจบแล้วไม่คิดจะทำงานหรือไง” เสียงของคนที่นั่งรออยู่บนเตียงไม้เอ่ยถามทำให้ฉันต้องเหลือบตามอง “ก็ทำ” “ไม่เห็นทำ” “จะเห็นทำได้ไงก็เพิ่งมา” “ถึงไม่มาก็รู้ว่าไม่ทำ” จากตอนแรกที่ก้มถูพื้นบ้านก็ต้องยืดตัวขึ้น มือเท้าสะเอวจ้องมองอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังกวนประสาทเป็นอย่างมาก “เลี้ยงควายจบไหม” เพียงเท่านั้นคิ้วเข้ม ๆ ก็ยกขึ้นสูงพร้อมปากระบายยิ้มออกมาเหมือนคนอารมณ์ดี ซึ่งไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เห็นหน้ากันเขายิ้มไปกี่รอบแล้ว และเป็นยิ้มที่กวนมาก ๆ เลยก็ว่าได้ “ยิ้มหยัง” “เปล่า” “ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม” “จะเสร็จไหมห้องวันนี้ หรือแกล้งทำช้า ๆ เพราะอยากอยู่ในนี้นาน ๆ” “อี๋ ผู้ได๋สิอยากอยู่นำ หลงเจ้าของ!” (อี๋ ใครจะอยากอยู่ด้วย หลงตัวเอง!) ว่าเท่านั้นก็รีบถูห้องอย่างเร่งรีบ และใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ถูเสร็จพร้อมมือรีบยกถังน้ำขึ้นมาถือทันที “ทำให้แค่วันนี้นี่แหละ ที่เหลือก็ทำเอง” “…” “รู้จักไหมสิทธิเท่าเทียม มีแขนมีขาเหมือนกันก็ทำช่วยกัน” ว่าเท่านั้นก็เดินออกมาจากห้องดังกล่าวทันที เพราะกลัวอีกฝ่ายจะหาว่าฉันอยากอยู่ด้วยจึงไม่สนใจอะไรให้มากความ ผู้ชายอะไรหลงตัวเองที่สุด ถึงเขาจะหล่อเหลาเอาการอย่างกับโอปป้าเกาหลีหน้าใสตัวชมพูก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะพิศวาสเขาสักหน่อย! นอกจากจัดเตรียมห้องแล้วอีกหนึ่งหน้าที่ของฉันก็คือต้องทำอาหารให้คุณเขาอีกต่างหาก ซึ่งตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเขามาอยู่เป็นเพื่อนหรือมาอยู่เป็นภาระกันแน่ เปรี้ยวจี๊ดเอ๊ย… อยู่ดีไม่ว่าดีก็ต้องได้มาดูแลผู้ชายที่ไม่ใช่ผัว คิดถูกหรือคิดผิดก็ไม่รู้! “ทำอะไร” เสียงของคนมาใหม่ดึงสติฉันกลับมา สองตาเหลือบมองไปยังคนร่างสูงก็ต้องเห็นเขานั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนไม่ไกลจากห้องครัว และเป็นการนั่งที่กวนประสาทมากพอสมควร คนบ้าอะไรยิ้มได้ตลอดเวลา “มองหน้า?” “แล้วเห็นทำอะไร” “เห็นถือตะหลิว” “ก็ตามนั้น” “กวนดี” น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง “ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่รอดมาจนอายุยี่สิบสี่ปี” “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะอยู่รอดมาจนถึงสามสิบสี่ปีเหมือนกัน” ฉันตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ “แต่ก็เข้าใจแหละ…” “เข้าใจว่าอะไร” “ก็เข้าใจในสิ่งที่คุณเป็นไง” “เป็นอะไร?” และแล้วเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม จากที่นั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนก็มายืนให้เห็นในระยะสายตา แถมตายังจ้องมองฉันอย่างสงสัยอีกต่างหาก “แล้วคุณเป็นอะไรล่ะ” ว่าแล้วก็ยกยิ้มบางเบา “ไม่ต้องอายหรอกคุณโลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เราต่างเปิดรับในสิ่งที่ทุกคนเป็น ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็คนเหมือนกันทั้งนั้น” “ผมไม่ได้อาย” เขาส่ายหน้าน้อย ๆ “แค่อยากบอกไว้ว่าผมเป็นผู้ชาย” “ก็บอกว่าไม่ต้องอาย” “หรือจะพิสูจน์?” “พิสูจน์อะไร ถอยออกไปนะ!” ฉันเอ่ยเสียงดังเมื่ออีกคนย่างกายเข้ามาใกล้พร้อมสีหน้าที่จริงจัง ตะหลิวที่อยู่ในมือชี้ไปข้างหน้าอย่างข่มขู่ ไม่ต่างจากอีกมือที่คว้ามีดขึ้นมาจ่อไปทิศทางเดียวกันกับตะหลิว “กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรือไง” “ใช่! ถ้าไม่อยากตายก็ถอยออกไป!” “ไม่อยากรู้แล้วเหรอว่าผมเป็นเพศอะไร?” นอกจากจะไม่กลัวแล้วยังยกยิ้มชอบใจอีกต่างหาก ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองฉันนิดหน่อยก็พยักพเยิดไปยังกระทะด้วยความอารมณ์ดี “ไหม้แล้ว” “ถอยออกไป!” “ที่จริงไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนก็ได้มั้ง” เขายอมถอยห่างออกจากฉันในขณะที่ฉันยังมองเขาอย่างหวาดระแวง “เก่งขนาดนี้เอาตัวรอดได้แน่นอน” “…” “อยู่คนเดียวไม่น่าจะเป็นอะไร” เกิดความเงียบชั่วขณะเพราะฉันไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใด อีกใจก็นึกหวาดระแวง แต่อีกใจก็นึกกลัวว่าเขาจะตีรถกลับเมืองกรุงจริง ๆ มันก็จริงที่ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด แต่ระหว่างนั้นฉันอยู่กับตามันจึงไม่น่ากลัวเหมือนทุกวันนี้ พอตาจากไปก็ให้เพื่อนมานอนด้วยเพราะรู้สึกกลัวหลายอย่าง ทั้งคนทั้งผีปะปนกันไป ครั้นจะให้เพื่อนมานอนด้วยทุกคืนก็รู้สึกเกรงใจเพราะต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะแบบนี้ฉันจึงนึกกลัวหากเขาจะตีรถกลับเมืองกรุงแล้วเหลือแค่ฉันคนเดียวอย่างเฉกเช่นทุกวัน “ที่จริงดูจากบรรยากาศรอบบ้านแล้วก็วังเวงอยู่เหมือนกัน แถมยังเปลี่ยวมากอีกต่างหาก” “หยุดพูดนะ” “กลัว?” “ไม่กลัวสักหน่อย” ฉันทำปากแข็งแล้วตัดสินใจหันกลับมาสนใจอาหารในกระทะต่อ แต่ตาก็ไม่วายเหลือบมองผู้อาศัยเป็นระยะ “ไม่กลัวก็ดี จะได้อยู่คนเดียวได้” “คุณอยากกลับเมืองกรุงก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้างหรอก” “อยากกลับอยู่แล้ว ก็บ้านอยู่ที่นั่น” เขาตอบกลับมาด้วยความยียวนกวนประสาทเหมือนเดิม “ใครจะอยากอยู่นี่กับผู้หญิงที่จะเอามีดแทงตัวเองจริงไหม” “แล้วใครบอกให้คุณขยับเข้ามาใกล้ล่ะ” ฉันหันไปแหวทันทีทันใด “อีกอย่างคุณป้าเป็นคนบอกเองว่าถ้าคุณเข้าใกล้ฉันเกินหนึ่งเมตรให้หาอะไรทุบหัวคุณได้เลย” “…” “ฉันไม่เอามีดเสียบไส้ทะลักก็ดีเท่าไหร่แล้ว” “ก็เก่งแบบนี้อยู่คนเดียวไปก็แล้วกัน” เขาไม่ได้สนใจกับคำพูดฉันแล้วเดินตัวปลิวออกไปจากห้องครัวทันที เห็นเช่นนั้นจึงรีบปิดแก๊สแล้วสาวเท้าเดินตามออกไปติด ๆ “คุณจะไปไหน” “เก็บของกลับบ้าน” “ได้ไง” “ทำไมจะไม่ได้?” คิ้วเข้มยกขึ้นเล็กน้อย ส่วนตาก็ฉายความสงสัยออกมาให้เห็น “ใครจะกล้าอยู่ด้วย เผลอ ๆ นอนอยู่ดี ๆ เอามีดมาไล่เสียบตอนกลางคืนจะทำไง” “ใครจะบ้าเอามีดไล่เสียบคุณตอนกลางคืน” “คุณไง” “ไม่ใช่สักหน่อย” “ใช่ชัด ๆ เมื่อกี้ก็เกือบโดนแล้ว” “ขอโทษก็ได้” ฉันยอมอ่อนลงเพราะกลัวเขาจะกลับเมืองกรุงจริง ๆ “แต่ถ้าคุณไม่เดินเข้ามาใกล้ฉัน ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นหรอก” “…” เป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบระหว่างเรา คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ายังยืนมองฉันนิ่งไม่พูดไม่จา ส่วนฉันก็มองเขาเช่นกันเพราะอยากรู้อีกฝ่ายจะพูดว่าอะไร นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้มองหน้าผู้ชายคนนี้เต็ม ๆ ตาแบบนี้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่หล่อมาก หล่อที่สุดในดงบ้านดอนแล้ว หล่อแบบดาราก็ไม่ปาน คิ้วเข้มเส้นเรียงตัวสวยงาม ตาคมรับกับรูปหน้า จมูกโด่งเป็นสันเข้ากับปากหยักสีชมพูดูเหมือนคนสุขภาพดี ส่วนหุ่นกับสีผิวไม่ต้องให้เล่าใช่ไหมว่าเป็นยังไง ทั้งขาวโอโม่และสูงยาวเข่าดีเป็นที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลพูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อปังอลังการมาก! “อ่านกิน?” “ใคร…ใครอ่านกินคุณ” ฉันดึงสติกลับมาพลางมองไปทางอื่นเมื่อถูกจับได้ “คุณไง เห็นจ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ” และจังหวะนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงมาให้ตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน “แถมยังกลืนน้ำลายอีกต่างหาก” “ไม่ใช่ซะหน่อย!” “หลักฐานเห็นคาตา” “หลงเจ้าของคักเนาะ” “ฟังไม่ออกก็ไม่รู้สึก” เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วเดินเลี่ยงออกไป แต่มีหรือว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ “คุณจะไปไหน” “กลับบ้าน” “ขอโทษไปแล้วยังไม่พอใจอีกหรือไง” “ไม่พอใจ” แล้วเขาก็หยุดเดินพร้อมหันมามองฉัน “ถ้าพูดให้เขาหูกว่านี้จะยอมอยู่เป็นเพื่อน” “เข้าหูอะไร” “แทนตัวเองด้วยชื่อ และเรียกพี่ว่าพี่ธีร์ด้วย” “ไม่เอาอะ ไม่สนิทกันจะมาเรียกได้ไง” ฉันส่ายหน้าพัลวัน “เรียกไม่ลงหรอก” “งั้นก็ตามใจ” แล้วเขาก็เดินขึ้นบ้านไป ส่วนฉันก็ทำได้แค่มองหน้ามองหลังเพราะไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตในตอนนี้ “พี่ธีร์… พอใจยัง!” สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงักได้ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันมามองฉันยิ้ม ๆ ราวกับว่ากำลังประกาศตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ “เรียกให้ตลอดด้วยล่ะ” ฉันไม่ได้ตอบรับแล้วเดินกลับเข้ามาในครัวเหมือนเดิม และเมื่อโผล่หน้าไปยังกระทะทอดปลาก็ปรากฏว่าปลาตัวดังกล่าวดำมืดไปแล้วเรียบร้อย สรุปได้เลยว่าไหม้เกรียมจนกินไม่ได้แล้ว เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นคนเดียวเลย เป็นตาซัง!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม