บทที่ 1สาวน้อยดงบ้านดอน(1/2)
1.สาวน้อยดงบ้านดอน
บ้านมงคลศรีปัญญา
“ทำไมวันนี้บ้านเงียบแปลก ๆ” ลูกชายคนเดียวของตระกูลเอ่ยถามป้าแม่บ้านที่กำลังเก็บทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่อย่างขะมักเขม้น สองตาของเขากวาดมองไปรอบบ้านอย่างสนอกสนใจเมื่อมันเงียบผิดปกติราวกับไม่มีคนอยู่
“คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายอยู่ในสวนค่ะ”
“แล้วปู่?”
“อยู่ในสวนเหมือนกันค่ะ”
คนที่เอ่ยถามไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงแค่พยักหน้าแล้วย่างก้าวไปยังสวนหลังบ้านเพราะอยากรู้ว่าที่สวนหลังบ้านมีอะไร ทำไมทุกคนถึงไปอยู่ที่นั่นกันหมด
และเมื่อมาถึงก็ต้องได้เห็นทั้งคนที่เป็นบิดา มารดา และปู่กำลังนั่งคุยเรื่องอะไรบางอย่างด้วยความตึงเครียด คุยเหมือนที่บ้านกำลังเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของเขาแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่มีปัญหาเรื่องธุรกิจหรือแม้กระทั่งพี่น้องชิงดีชิงเด่นกัน
“คุยอะไรกันอยู่ครับ ทำไมดูเครียดแปลก ๆ” เสียงของคนมาใหม่เรียกความสนใจของทั้งสามได้เป็นอย่างดี พวกเขาจับจ้องไปที่ ‘ธีร์’ ก่อนจะมองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังปรึกษากันด้วยสายตา
“ได้ข่าวว่าแกลาออกจากงานที่โรงพยาบาล” วิโรจน์ผู้เป็นปู่เอ่ยถามหลานชายหัวแก้วหัวแหวนที่อายุสามสิบสี่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ต่างจากเพื่อนที่คบกันมานานได้ลูกหนึ่งลูกสองกันหมดแล้ว มีเพียงธีร์เท่านั้นที่ยังทำตัวโสดไปวัน ๆ และไม่มีวี่แววว่าจะพาแฟนมาเจอแม้แต่น้อย
“ครับ” คนถูกถามพยักหน้ารับ
“แล้วจะทำอะไรต่อ”
“ผมยังไม่ได้คิด” ที่จริงธีร์คิดไว้ว่าจะเปิดคลินิกเป็นของตัวเองหรือไม่ก็ไปร่วมหุ้นทำคลินิกกับเพื่อน แต่ก็เริ่มเบื่ออาชีพที่ทำจึงยังไม่ได้วางแผนเป็นชิ้นเป็นอันในอนาคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีงานอื่นรองรับ ก็ยังทำอีกมากมายหลายอย่างเพียงแค่ไม่ใช่อาชีพที่ชัดเจนก็เท่านั้น
บนโลกใบนี้อาจจะมีเขาแค่คนเดียวก็ได้ที่รู้สึกเบื่องานที่ทำ ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นอาชีพที่มีหน้ามีตาและมีเกียรติพอสมควร
แต่ความรู้สึกดันฉายชัดคำว่า ‘เบื่อ’ ขึ้นมา เขาแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง วัน ๆ ก็หมกตัวอยู่ในโรงพยาบาลไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน เพราะแบบนี้เขาถึงอยากลาออกลองมาใช้ชีวิตที่เหลือว่าอยากทำอะไรกันแน่
“งั้นปู่คิดให้เอาไหม” เสียงของคนเป็นปู่ดึงสติของธีร์กลับมา ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าฉายชัดความจริงจังออกมาอย่างชัดเจน ตาคมจึงเหลือบมองหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองก็เห็นทั้งสองมองหน้าเขาอย่างจริงจังไม่ต่างกัน
“ผมไม่คลุมถุงชน” ใบหน้าหล่อเหลาส่ายทันทีทันใด “ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานขอผ่านครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” ดวงจิตผู้เป็นแม่ลูบแขนลูกชายเบา ๆ “ไหน ๆ เราก็ยังไม่มีแพลนจะทำอะไรตอนนี้ ลองฟังข้อเสนอของปู่ดูก่อนดีไหม”
“ข้อเสนอ?”
“ปู่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง… แต่ตอนนี้ตายไปแล้ว”
“แล้วยังไงครับ”
“ฟังให้จบก่อน” วิโรจน์ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย “เพื่อนปู่คนนั้นชื่อไอ้คูณ มันมีหลานหนึ่งคน”
“…”
“ชื่อเปรี้ยวจี๊ดเป็นผู้หญิง”
มือหนาเกาหัวทันทีเมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว พลางคิดในใจว่าแค่ชื่อก็เข็ดฟันแล้ว ตัวจริงคงจี๊ดจ๊าดปี๊ดป๊าดน่าดู
“ตอนนี้หนูเปรี้ยวอยู่บ้านคนเดียว ปู่ไม่สบายใจที่มันเป็นอย่างนั้น” ฝ่ามือเหี่ยวย่นของคนเป็นปู่ตบเข้าที่หลังของธีร์เบา ๆ “ปู่ลองคุยกับหนูเปรี้ยวแล้วเรื่องหาคนไปอยู่เป็นเพื่อน ลองเกริ่น ๆ เป็นแกหนูเปรี้ยวก็ไม่ว่าอะไร”
“ปู่จะให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนหนูเปรี้ยวของปู่?”
“ได้ไหมล่ะ” สีหน้าของวิโรจน์สื่อความหวังออกมา ไม่ต่างจากคนเป็นพ่อและแม่ที่นั่งมองลูกชายตาปริบ ๆ “ที่จริงมันก็เป็นบ้านเกิดที่หนูเปรี้ยวอยู่ตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่มันก็ใช่ว่าจะปลอดภัย”
“…”
“ปู่เห็นหนูเปรี้ยวตั้งแต่เด็ก รักเป็นลูกเป็นหลานคนนึง อีกทั้งยังเป็นหลานของเพื่อนรักก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
“แล้วพ่อแม่เขาไปไหน”
“ถูกจับข้อหาค้ายาเสพติดและขโมยของคนในหมู่บ้าน ตอนนี้ไม่รู้ออกจากคุกหรือยัง”
“แล้วปู่ให้ผมที่เป็นผู้ชายไปอยู่กับเขา ปู่ไม่กลัวว่าผมจะทำมิดีมิร้ายเขาหรือไง”
“ที่บ้านสอนให้แกทำตัวแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ”
“ก็ไม่ได้สอน แต่ทุกคนไว้ใจผมเกินไปหรือเปล่า” ถึงแม้จะไม่มีเรื่องชั่วช้าในหัวเลย แต่เขาก็เป็นผู้ชาย หากวันใดวันหนึ่งมันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ทำไมไม่จ้างผู้หญิงไปอยู่เป็นเพื่อน”
“เดี๋ยวแกไปอยู่ก็รู้เอง”
“แล้วเขาโอเคเหรอที่ผมจะไปอยู่ด้วย”
“ก็โอเค เห็นบอกว่าเป็นผู้ชายยิ่งดี” วิโรจน์ทำหน้าจริงจัง “ก็อย่างที่บอก ไปถึงเดี๋ยวแกก็รู้เอง”
“ไหน ๆ เราก็ยังไม่ได้คิดถึงอนาคตก็ไปอยู่เป็นเพื่อนน้องสักเดือนดีไหม” ดวงจิตเอ่ยพูดกับลูกด้วยความใจเย็น “ถือว่าไปพักผ่อนก็ได้”
“ดีไม่ดีแกอาจจะชอบที่นั่น” ทัศพลผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นบ้าง “ตอนนี้แกกำลังเบื่อชีวิตในเมือง ลองไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดดู”
“…”
“พ่อคิดว่าแกต้องชอบแน่นอน”
ต่างจังหวัด
หมู่บ้านดงบ้านดอน
“สิเอาอิหลิติเปรี้ยว” (จะเอาจริงเหรอเปรี้ยว) เสียงของคนซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เอ่ยถามเพื่อนตัวเองที่กำลังพาขี่รถไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งกำลังจัดงานมงคลในขณะนี้
“ย่านหยัง อุตส่าห์มาแจกการ์ดหยามหน้าปานนี้ ไปห่อเอาลาบมากินนำเหล้ามื้อแลงกะได้ตั๊ว” (กลัวอะไร อุตส่าห์มาแจกการ์ดหยามหน้าขนาดนี้ ไปห่อเอาลาบมากินกับเหล้าตอนเย็นก็ได้นะ)
‘เปรี้ยวจี๊ด’ สาวน้อยแห่งหมู่บ้านดงบ้านดอนเอ่ยด้วยความมั่นอกมั่นใจระคนความแค้นเต็มอก เป็นเพราะเธอไม่สวยเหมือนใคร และทำตัวเฉิ่มเกินบรรยายจึงทำให้ ‘แฟน’ ที่คบมาเกือบปีนอกใจไปแอบกิ๊กกั๊กกับสาวอีกหมู่บ้าน มากกว่านั้นยังบอกเลิกเธอและโยนความผิดนั้นมาให้เธออีกต่างหาก
เฉิ่มบ้างล่ะ คบกันได้เกือบปีแต่ไม่ได้กอดบ้างล่ะ เปรี้ยวจี๊ดสมชื่อบ้างล่ะ เพราะแบบนี้ฝ่ายชายจึงทนไม่ไหวและเลิกรากับเธอไป
ที่จริงเปรี้ยวจี๊ดจะไม่อะไรเลยหากไม่ถูกหยามหน้าโดยที่อีกฝ่ายเอาการ์ดแต่งงานมาแจกเธอที่บ้าน แถมฝ่ายหญิงยังพูดจากระทบกระทั่งเธออีกต่างหาก
เพราะแบบนี้เปรี้ยวจี๊ดถึงต้องมา…
ก็ในเมื่อเสนอแล้วมันก็ต้องสนอง… จะไปยากอะไร
“ใส่ซองสิบบาทกะกล้ามาห่อเอาลาบบ้านคนอื่น”
“สิบบาทกะสิเป็นหยัง คนบ่ใส่ยังห่อหมูเป็นโต” (สิบบาทก็จะเป็นอะไร คนไม่ใส่ยังห่อหมูเป็นตัว)
“ตามใจสั่น” (ตามใจงั้น)
จบคำดังกล่าวรถมอเตอร์ไซค์ก็วิ่งเข้าไปจอดยังบ้านงาน เพียงเท่านั้นก็เรียกหลากหลายสายตาให้มองมาที่หญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนขาสั้นเอวสูง พร้อมรองเท้าอีแตะหูคีบสุดเท่
“ไม่คิดว่าจะมาจริง ๆ” เสียงของ ‘เจ้าสาว’ เอ่ยทักเปรี้ยวจี๊ดที่กำลังยื่นซองให้คนทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งมันก็เรียกความสนใจจากหญิงสาวได้ นิ้วเล็ก ๆ ดันแว่นตาที่ใส่ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“เอาซองมาให้ปานนี้กะมาหั่นตั๊ว” (เอาซองมาให้ขนาดนี้ก็มาสิ)
“…”
“แต่บ่ได้มาดีใจนำดอก มาห่อเอาแนวกินไปแกล้มนำเหล้ามื้อแลง” (แต่ไม่ได้มาดีใจด้วยหรอก มาห่อเอาของกินไปกินกับเหล้าตอนเย็น) ว่าจบเปรี้ยวจี๊ดก็เดินไปยังโซนห้องครัวทันที ไม่ได้สนใจต่อล้อต่อเถียงกับอีกคน แต่ก็ยังเดินไม่ถึงไหนก็เจอเจ้าบ่าวซะก่อน
“เปรี้ยวมาด้วยเหรอ”
“ผีมั้งยืนอยู่นี่” (ผีมั้งยืนอยู่นี่)
“เปรี้ยวยังโกรธพี่อยู่เหรอ” คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนผิดเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหมือนรู้สึกผิดเต็มประดา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เขากำลังกลัวชาวบ้านนินทาถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่เพิ่งผ่านมาต่างหาก
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาเคยคบกับเปรี้ยวจี๊ด แต่ไม่มีใครรู้ว่าเลิกกันเพราะอะไร และเขาทำอะไรไว้บ้าง
“เปรี้ยวไม่โกรธพี่หรอก” คราวนี้เปรี้ยวจี๊ดเปลี่ยนเป็นพูดภาษากลางเพราะกลัวอีกฝ่ายจะฟังไม่ออก “ที่จริงก็ดีแล้วที่เราเลิกกัน และพี่เลือกผู้หญิงคนนั้น”
“เปรี้ยว…”
“ผีเน่ากับโลงผุก็เหมาะสมกันดี” ว่าแล้วปากเล็กจิ้มลิ้มก็เบะออก “สักวันปลวกก็มาเจาะโลง”
“อีเปรี้ยว!!”
“ขวัญไม่เอา” ชายหนุ่มรีบดึงเมียสาวที่เพิ่งสวมแหวนกันหมาด ๆ มากอดไว้เพราะเห็นเธอกำลังถลาตัวใส่อดีตแฟน ก่อนเขาจะหันไปมองเปรี้ยวจี๊ดพลางแสดงละครเพราะตอนนี้ชาวบ้านต่างซุบซิบนินทาแล้ว
“พี่ขอโทษที่พี่ทำตัวแย่กับเปรี้ยว ถ้าเปรี้ยวจะไม่ให้อภัยก็ไม่เป็น”
“เปรี้ยวไปเถาะ กูห่อลาบมาแล้ว” (เปรี้ยวไปเถอะ กูห่อลาบมาแล้ว) คนเป็นเพื่อนสะกิดแขนเปรี้ยวจี๊ดยิก ๆ เพราะไม่อยากอยู่ดูละครที่แสนน้ำเน่านี้
“โชคดีนะพี่ไผ่…” เปรี้ยวจี๊ดว่าพลางทำหน้าเศร้าก่อนจะเดินออกมา สร้างความงงงวยให้คนที่กำลังยืนดูเหตุการณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไผ่ที่ไม่รู้จะเล่นบทไหนต่อเมื่อเปรี้ยวจี๊ดมาอารมณ์นี้
แต่ไม่นานใบหน้าหวานก็หันกลับไปมองยังคู่บ่าวสาวอีกครั้ง พร้อมปากที่ระบายยิ้มออกมาจนเต็มหน้า “ที่พูดเมื่อกี้ล้อเล่นนะ”
“…”
“ที่จริงจะบอกว่าขอให้เลิกกันไว ๆ ต่างหาก” แล้วเสียงหวานก็เอ่ยดังอีกครั้ง “เลิกกันไว ๆ เด้อผีเน่ากับโลงผุ!!!”
ว่าเท่านั้นเปรี้ยวจี๊ดก็กระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนจอดรอแล้วขี่ออกไปจากบ้านงานโดยมีเสียงตะโกนด่าตามหลังไม่หยุดหย่อน แต่มีหรือที่เธอจะสนใจ นอกจากจะไม่สนใจแล้วยังหัวเราะชอบใจกับเพื่อนอีกต่างหาก
“ของแทร่”