ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจUpdated at Jan 17, 2025, 04:29
“ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว เรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันนะ” หญิงสาวพึมพำหลังจากลืมตาตื่นจากความฝันอันยาวนาน ในขณะเดียวกันเธอก็ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนทิ้งอย่างลวก ๆ
แสงแรกของวันสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างภายในห้องนอนของผู้เป็นหญิงสาวร่างบางหลังจากแต่งกายเป็นชุดทำงานประจำวันของตนเรียบร้อย
“คุณปู่คะ ฉันไปทำงานก่อนนะ” หญิงสาวพนมมือบอกกล่าวรูปภาพของชายชราผู้กำลังส่งยิ้มมาให้ก่อนเดินออกจากบ้านหลังเก่าสุดแสนจะธรรมดาเฉกเช่นทุกวัน
ไป๋เสวี่ยคือชื่อของหญิงสาวเนื่องจากในวันถือกำเนิดของเธอนั้นหิมะแรกกำลังโปรยปรายเกล็ดของมันระยิบระยับดูงดงามจับตาคนเป็นปู่จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้กับหล่อน
ทุกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของหญิงสาวคนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแสนน่าเบื่อจนกระทั่งถึงวันสิ้นปี
ไป๋เสวี่ยยกมือบิดขี้เกียจอ้าปากหาวหลังจากจัดการงานที่คั่งค้างจนเสร็จสิ้น
เสียงมือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาคลี่ริมฝีปากแย้มยิ้มก่อนกดรับสาย
“เป่าเปา เธอจะไม่มาฉลองปีใหม่กับฉันจริงเหรอ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความตัดพ้อ
“ไม่ละ ฉันไม่อยากไปเป็นหลอดไฟขวางทางรักของเธอ” น้ำเสียงของผู้พูดเต็มไปด้วยความหยอกเย้าทำให้คนปลายสายหน้าแดงก่ำเถียงไม่ออก “แต่จะให้ฉันมีความสุขแล้วทิ้งเธอไว้ตามลำพังได้ยังไง”
“เธอคิดมากเกินไปแล้ว ฉันมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีต่างหาก อีกอย่างฉันกำลังจะกลับไปฉลองปีใหม่กับคุณปู่” ไป๋เสวี่ยหยิบกระเป๋าสะพายคล้องหัวไหล่ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมตามหลัง
“เป่าเปา คุณปู่จากไปนานแล้วนะเธออย่าทำให้ฉันขนลุกได้ไหม” คนปลายสายแย้งด้วยความรู้สึกใจหาย
“คิดมากน่า แต่ถ้าฉันได้กลับไปอยู่กับปู่อีกครั้งจริง ๆ ก็ดีนะสิ ตั้งแต่เป็นเด็กปู่ก็มักจะมีเรื่องเล่าแปลก ๆ มาเล่าให้ฟังอยู่ตลอดรวมถึงยังมีวิชาพวกนั้นด้วยแม้ว่าในตอนนี้คนจะเชื่อถือเรื่องเทพและภูติผีน้อยลงก็เถอะ” คนพูดกดลิฟต์ในระหว่างนี้ก็ยกมือถือแนบหูไปด้วย
เสียงเตือนของลิฟต์โดยสารดังขึ้นก่อนประตูเลื่อนของมันจะเปิดออก “ฉันต้องวางแล้วเอาไว้ค่อยคุยกันนะ” ไป๋เสวี่ยกล่าวลาและยังไม่ทันที่เธอจะนำมือถือเครื่องสวยใส่กระเป๋าสะพาย
จู่ ๆ ลิฟท์ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่ไฟจะดับลงหลังจากเธอก้าวเท้าเข้ามาอยู่ด้านใน
พรึบ! “เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงแสดงความหวาดหวั่นของคนพูดดังขึ้นท่ามกลางความมืด และยังไม่ทันที่หล่อนจะตั้งสติลิฟท์ตัวนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสวี่ยกรีดร้องจนสุดเสียง จากนั้นเธอก็สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาหญิงสาวก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่งยังไม่ทันทำความเข้าใจให้กระจ่างหัวของเธอก็ปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะความทรงจำต่าง ๆ มากมายกำลังประดังประเดเข้ามาราวสายน้ำหลากจนทำให้สลบไปอีกครั้ง
ภายในห้วงฝันสองเท้าเล็ก ๆ เดินมุ่งหน้าไปทางศาลาข้างสระบัวหลังงามที่มองเห็น ภายในศาลาหลังนั้นมีร่างของหญิงสาวผู้มีใบหน้าราวกับตนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยนนั่งอยู่ตามลำพัง
“เจ้ามาแล้วเหรอ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยกับเธออย่างเป็นกันเอง
“พี่สาว ข้ามาขอโทษ” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ข้าไม่โกรธเจ้าเลย อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณอีกด้วยเพราะหากไม่ได้เจ้าข้าก็คงไม่เจอเขา ดังนั้นอย่าได้รู้สึกผิดและต่อจากนี้ไปเจ้าเองก็จะมีชีวิตที่มีความสุขของตนบ้างแล้ว จงใช้ชีวิตให้ดีเล่า” หญิงสาวคนนั้นวางพู่กันในมือลงสบตากลมโตของเด็กหญิงตรงหน้าเอ่ยจากใจจริง
“พี่สาวขอบคุณเจ้าค่ะ ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้วเอาไว้หลังสิ้นสุดจากภพนั้นข้าจะกลับมาพบท่านอีก” สิ้นเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยร่างกายของเธอก็เป็นละอองจางหายไป
ย้อนกลับไปยังอดีตกาลก่อนหน้าราวปี771 ช่วงเวลา 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงนี้เป็นยุคการล่มสลายของราชวงค์โจวก็เข้าสู่ยุคชุนชิว ในช่วงเวลานี้เป็นยุคปกครองที่ผู้นำไร้อำนาจ
ทำให้อ๋องหรือเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้แข็งข้อและสู้รบกันในแต่ละแคว้น จึงทำให้สถานการณ์ในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างอยู่กันอย่างหวาดระแวงและต้องคอยระแวงกันอยู่ตลอดเวลา
ยุคนี้นักวิชาการจีนโบราณเรียกขานประวัติศาสตร์จีนช่วงนี้ว่า “ยุควสันตสารท” อยู่ในช่วงปี 770 หรือ 453 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคหนึ่งในราชวงศ์โจวราชวงค์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
เป็นยุคที่นครรัฐแต่ละรัฐทำสงครามด้วยกลอุบายอันแยบยล เกิดเป็นตำนานและเรื่องเล่าขานมากมายจนมาถึงปัจจุบัน
คำว่า “วสันตสารท” หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมาจากชื่อคัมภีร์ของขงจื๊อที่บันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเปรียบเปรยถึงนครรัฐต่าง ๆ ที่เคยตั้งอยู่และดับไปเหมือนดั่งใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
หลังจากยุคนั้นสิ้นสุดก็ก้าวเข้าสู่ยุคจ้านกว๋อ ยุคที่ผู้คนเข้าถึงสมุนไพรได้ยากทำให้ผู้คนต้องพึ่งพาผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ เพื่อหวังให้ตัวเองหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเพื่อพ้นจากความยากลำบาก
แม้ว่าผู้คนกำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสาย แต่ยังคงมีอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่ง อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างไกลอีกทังยังกันดารเป็นอย่างมากสภาพโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน
ชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ได้โดยอาศัยการหาของป่าเลี้ยงชีพ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างปกติและเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนถูกปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ไม่เว้นแม้แต่บัณฑิตผู้หนึ่งที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนายภำเภอของเมืองอันแสนห่างไกลความเจริญ
ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องนอนของนายอำเภอเมือง ฟงอวิ๋น “ท่านพ่อ เหตุใดเป่าเปาถึงยังไม่ฟื้นอีก” ผู้พูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจเดินไปวนเวียนมาถามกับบิดาผู้กำลังยกมือลูบเคราสีเงินยวงของตนไปมาคล้ายไม่ทุกข์ร้อน
“เจ้า! หยุดเดินได้หรือยัง ข้าบอกว่านางย่อมปลอดภัยก็ต้องเป็นไปตามนั้น ชะตาชีวิตของนางหนูนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวประหลาดหากว่านางผ่านพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้จะทำการใหญ่ได้เยี่ยงไร”