อ่า...มิได้มิได้วันนี้ข้าบุตรสาวมาด้วย

2539 Words
“มิได้มิได้ วันนี้ข้าพาบุตรสาวมาด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ” หวังร่วนเทาปฏิเสธและรอจนปิงปิงก้าวลงมา วันนี้นางสวมชุดสีม่วงอ่อน งดงามสมวัยจนบิดาอย่างร่วนเทา มิอยากให้นางได้ออกเรือน ‘หวงลูกสาว’ “นี่คือหวังปิงปิงบุตรสาวข้า แน่นอนว่าท่านมิเคยพบนางเป็นแน่” ขันทีชรามองสตรีตัวน้อยผิวพรรณผุดผ่อง กลิ่นกายหอมสะอาด ใบหน้างดงามแช่มช้อย…คล้ายๆ ว่าจะเคยพบนางที่? “สตรีที่ชนกับฝ่าบาท” ^^ “ใช่เจ้าค่ะ ท่านลุงเรียกข้าว่าปิงปิงก็ได้” ก้าวเดินขึ้นไปยืนขนาบข้างบิดา จ้องมองขันทีชราด้วยรอยยิ้มน่ารัก “หึหึ” ขันทีชราหัวเราะร่ากับความน่ารักตรงไปตรงมาแบบเป็นกันเองของนาง ที่เพียงแค่พูดคุยสองสามประโยค ก็รู้สึกราวกับว่าจะรู้จักกันมานานนับสิบปี “เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าลุงสุ่ย” “เจ้าค่ะท่านลุงสุ่ย” “มาเถิดตามข้ามา” เดินนำสองพ่อลูกเข้าไปยังสวนสวยใจกลางตำหนัก สถานที่ที่ฝ่าบาททรงประทับรออยู่ก่อนหน้า หากวันนี้มิมีการร่ำสุราก็คงจะมีเพียงการเดินหมากสักสองสามตาก่อนจะมืด ขันทีชราเดินเพียงหนึ่งจิบชาก็ไปถึงจุดหมาย “นายท่านหวังกับคุณหนูมาแล้วกระหม่อม” แจ้งกับฝ่าบาทรูปงามที่สวมเพียงชุดคลุมลำลองสีขาวตัดกับสีผมสีดำสนิทยาวสยายคล้ายบุรุษหนุ่มเสเพลธรรมดาหาใช่ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ในสายตาผู้พบเห็น ‘นายท่านกับคุณหนูรึ?’ ในสำนึกมีภาพสตรีงดงามที่วิ่งมากอดตนจากทางด้านหลังเมื่อวันประลองยุทธ์ฉายชัดเข้ามาก่อนเป็นอันดับแรก ‘จะใช่หรือมิใช่นาง’ มู่เจี้ยนเทียนเงยหน้าขึ้นจากการใช้ไม้สามง่ามอันเล็กๆ พรวนดินต้นไม้ในกระถางบนโต๊ะ (โต๊ะญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น) มองผู้เข้ามาใหม่ “ศิษย์พี่ร่วนเทา” และ...เป็นนางจริงๆ ผู้ถูกเอ่ยทักยิ้มกว้าง “มาแล้วๆ แต่ครั้งนี้นั้นพิเศษเพราะมีบุตรสาวติดตามมาด้วย นางอยากจะเข้ามาชมวังหลวงโดยเฉพาะตำหนักของฮ่องเต้” เอ่ยยิ้มๆ แล้วผายมือไปยังบุตรสาวผู้น่ารักสมวัยก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจ้าคงมิว่าอันใดใช่หรือไม่ศิษย์น้อง” ^^ ผู้ถูกถามส่ายหน้าและจับต้องไปยังสตรีอ่อนเยาว์ งดงาม หวังปิงปิงมีความประหม่ากับสายตาอันคมกริบที่คล้ายกับเครื่องสแกนนั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางต้องแสดงความเคารพก่อนเป็นอันดับแรก “หวังปิงปิงถวาย…?” นางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำราชาศัพท์แบบเป็นทางการ ‘ไม่แน่ใจว่าควรกล่าวอย่างไรระหว่าง ถวายบังคมหรือถวายพระพร’ มองท่านพ่อผู้อมยิ้ม มองฮ่องเต้ที่ยังคงทำหน้านิ่งขรึมคล้ายรอฟังคำต่อไป “เอ่อ หวังปิงปิงยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” “หึหึ” ^^ หวังร่วนเทาหัวเราะจนไหล่สั่นไม่ต่างจากบุรุษรูปงามฝั่งตรงข้าม ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาไหวระริกราวกับกำลังสนุก ก่อนจะพูดออกมาให้ได้ยินกันแค่สามคนตรงนี้ว่า “ตามสบายเถิด” ก่อนจะหันไปทางขันทีคนสนิท เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วของว่างหลายอย่างก็ถูกนำมาวางไว้ทีละถาดจนเต็มโต๊ะเล็ก “ศิษย์พี่คงมิสามารถอยู่ร่ำสุราได้แล้วใช่หรือไม่” คำถามนั้นแสนจะธรรมดาสามัญเมื่อพบเจอคนคุ้นเคย “วันนี้คงมิเหมาะเท่าใด เอาไว้วันหน้าหากข้ามาคนเดียวค่อยว่ากัน” ล้วงเข้าไปในอกเสื้อส่งกล่องพู่กันทองคำให้อีกฝ่ายแล้วหยิบตะเกียบคีบอาหารว่างใส่จานส่งให้บุตรสาวราวกับอยู่ในบ้านตนเอง หวังปิงปิงรับอาหารว่างมาถือไว้แล้วกล่าวกับบิดา “ท่านพ่ออยากทานสุราก็ทานได้เลยนะเจ้าคะ อย่าทำเป็นว่าเมื่อลูกมาด้วยท่านพ่อจะต้องใช้เวลาดูแลมากมายในเมื่อลูกหาใช่เด็กเล็กวิ่งเล่นซนจนหลงทาง” ‘หึ’ “เจ้าน่ะรึมิได้เล่นซนเหมือนเด็ก?” มู่เจี้ยนเทียนเอ่ยเย้ากับสตรีอายุคราวลูกพร้อมกับมองใบหน้าเนียนใสของนางที่อยู่ห่างจากตนเพียงสองช่วงแขน ‘นางสวมชุดสีม่วงได้งดงามมากจริงๆ’ ใบหน้าเนียนแดงก่ำพร้อมกับก้มหน้างุด ปิงปิงมิได้เอ่ยเถียงอะไรออกมานอกจากแสร้งทำเป็นคีบขนมเข้าปากอย่างสำรวม ก่อนจะได้ยินเจ้าครองแคว้นสั่งสุรามาวางข้างโต๊ะถึงสามกา “โอ๊ะ!! ลืมบอกไปว่าบุตรสาวมาด้วย ดังนั้นสุราอาหารวันนี้ขอละเว้นผลท้อเพราะนางจะเกิดอาการแพ้ทุกครั้งที่ทานมันเข้าไป” ครั้งก่อนที่เข้าวังนั้น เขาและศิษย์น้องทานสุราผสมผลไม้หลากหลายชนิด หนึ่งในนั้นมีสุราดอกท้อร่วมอยู่ด้วยแม้จะมีเพียงหนึ่งกาก็ตาม ดังนั้นยามนี้จึงต้องบอกไว้ก่อน บุรุษสูงศักดิ์หันไปทางขันทีคนสนิท ก่อนสุราหนึ่งกาในนั้น ผลไม้และของว่างที่มีส่วนผสมของผลท้อจะถูกเปลี่ยนในทันที เขามองสตรีตัวน้อยอย่างนึกสงสารและนางตรงหน้านั้นทำเพียงแค่เม้มปาก ก้มหน้าลงต่ำคล้ายรับฟังอย่างสงบ “อาการหนักมากหรือไม่” ที่ถามนั้นมิได้ถามตามมารยาทแต่ถามเพราะอยากรู้จริงๆ “เฮ้อ” หวังร่วนเทาถอนหายใจหนักหน่วง “ยามนั้นนางอายุแค่ห้าหนาว ฮูหยินของข้าปอกผลท้อป้อนนาง ใครจะรู้ว่าในตอนนั้นนางถึงกับหมดสติไปในทันที ใจข้านั้นหวาดกลัวไปหมดเพราะกลัวนางจะสิ้นชีพ แต่เมื่อได้ท่านหมอมาช่วยเหลือเอาไว้ทันการณ์เรื่องโศกเศร้าจึงมิได้เกิดขึ้น” สตรีตัวน้อยถึงกับน้ำตาไหลเมื่อรู้เรื่องราวเจ้าของร่างตัวจริง ‘ยังดีที่นางในตอนนั้นรอดชีวิตมาได้’ แม้สุดท้ายยามนี้จะไม่รอดแต่ปิงปิงคนเดิมก็ยังมีเวลาเที่ยวเล่นอีกนับสิบปี หากจะถามว่าดีใจหรือไม่ที่ตนได้มีชีวิตต่อไปทดแทนคนที่ตายไปแล้ว นางก็ขอตอบว่าดีใจที่ยังมีชีวิตแต่เสียใจที่ต้องมาอยู่ในร่างของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวต้องมาตายจาก มือบางควานหาผ้าเช็ดหน้าแต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นมิเคยพกมัน ก่อนที่จะยกชายเสื้อขึ้น...ขณะนั้นกลับมีมือเรียวขาวยื่นมาจากฝั่งตรงข้าม ส่งผ้าเช็ดหน้าสีครีมมาให้ จังหวะที่นางเอื้อมมือออกไปรับ ปลายนิ้วกลับสัมผัสถูกมือเรียวนั้นแผ่วเบา ใจสตรีที่ผ่านพ้นวันปักปิ่นมาไม่นานเต้นดังจนกลัวว่าท่านพ่อของนางที่นั่งอยู่ข้างๆ จะได้ยิน แค่เสี้ยววินาที แต่มันช่างมีผลต่อหัวใจอย่างรุนแรง ‘ข้าจะทำเช่นไรดี’ ฮ่องเต้รูปงามลดมือลงวางบนโต๊ะ สัมผัสนุ่มนิ่มเพียงนิดยังติดตรึงอยู่ปลายนิ้ว เพื่อละความรู้สึกนั้น จึงเอ่ยกับศิษย์พี่ของตน “ดวงของนางยังมิถึงฆาต” พร้อมคว้าจอกสุราขึ้นจิบ รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมจางๆ ติดปลายจมูกจนต้องขมวดคิ้วแล้ววางจอกลงตามเดิม ‘กลิ่นหอมนี้มาจาก?’ “เป็นเช่นนั้น มาๆ สุราวันนี้รสดีไม่ต่างจากวันวาน” รินสุราไผ่หวานจากกาให้บุรุษสูงศักดิ์ แม้ต่างชนชั้นแต่ยังนับถือกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง “ดื่ม” ผู้สูงศักดิ์ตัดเรื่องที่สงสัยออกไปแล้วจดจ่ออยู่กับการร่ำสุรา แม้จะรู้สึกได้ว่ามีสายตากลมหวานแอบมองเขาทุกระยะก็ตาม จนผ่านไปสักพักจึงได้ยินนางกล่าวออกมาเสียงใส “ท่านพ่อเจ้าขา ลูกขอเดินเล่นแถวนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ผู้เป็นบิดาตอบเสียงยานคาง “ถะ ถามเจี้ยนเทียน เอิ๊ก!!” ปิงปิงเหลือบมองบุรุษที่แก้มแดงนิดๆ ในมือนางบีบผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นบุรุษหอมสะอาดจนแน่น ชั่วขณะหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างมองสบตากัน นางกลับเผลอยกมือขึ้นจับหน้าอกตนเองต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ตึ่ก ตั่ก ตึ่ก ตั่ก ‘หนักหนาสาหัสแล้วจริงๆ ปิงปิง’ ทุกการกระทำของสตรีตัวน้อยอยู่ในสายตาคมกริบนั้น แต่ยังคงหวังเอาไว้ว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ตนคิดเพราะเขาเคยได้ยินจากองครักษ์เงาขั้นหนึ่งของตนมานานแล้วเหมือนกัน ว่าหวังปิงปิงนั้นชมชอบรัชทายาทมู่หรงหลานหรือก็คือบุตรชายของเขาเอง “ตามสบาย” หวังปิงปิงค่อยๆ เดินออกห่างจากวงสุราไปหาสาวใช้ นางรู้สึกได้ว่ามีสายตามองตามมาจากทางด้านหลังแต่นางก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง สุดท้ายแล้วทางออกของนางก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ “ท่านลุงสุ่ย ข้าอยากปลดเบาเจ้าค่ะ” บอกขันทีชรา ขันทีประจำตำหนักหันมองไปทางเจ้าของตำหนัก และเชื่อว่าฝ่าบาทคงจะได้ยินเพราะพระองค์ก็ฝึกวรยุทธ์ ระยะห่างเพียงเท่านี้มีรึจะรอดพ้นได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าจึงบอกกับสตรีตัวน้อยว่า “ตามข้ามา” ‘และนางคือสตรีคนแรกที่ได้ใช้ห้องปลดทุกข์ของฮ่องเต้’ เย็นวันนั้นการร่ำสุราดำเนินไปอีกหนึ่งชั่วยาม ท้องฟ้ามืดครึ้มแต่ตำหนักหลังใหญ่กลับสว่างไสว เหล่าขันทีน้อยใหญ่ต่างช่วยกันจุดเทียนไปรอบๆ สวนกลางตำหนัก ตรงลานร่ำสุรามีเพียงเสียงหัวเราะของบุรุษสองคนและเสียงโต้เถียงของสตรีตัวน้อยกับขันทีชราผู้กำลังสอนนางเดินหมาก “เหตุใดจึงเดินไปด้านหน้าเล่าเจ้าคะ” ปลายน้ำเสียงงอแง พร้อมกับหันไปหาท่านพ่อของตนที่นั่งดื่มสุราอยู่ตรงโต๊ะด้านข้างติดกัน “ท่านพ่อ ท่านลุงสุ่ยโกงลูก” ขันทีสี่สุ่ยยื่นพัดข้ามฝั่งมาตีไหล่นางดัง ปั่บ! “โกงอย่างไร เป็นเจ้าเองที่เดินวกวนซ้ายขวามิรู้ทิศทาง ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียสิ” หวังร่วนเทารั้งแขนเสื้อบุตรสาว คล้ายจะชะโงกหน้ามาเดินหมาก แต่ความมึนเมานั้นมีมากเสียจนดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นก่อนจะล้มฟุบไปด้านข้างทั้งอย่างนั้นแล้วหลับสนิท “ท่านพ่อ!!” ปิงปิงเซล้มไปกับบิดาก่อนจะรีบลุกขึ้นไปพยุง “ฮึ่บๆ” ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนผู้ยังคงมีสติเรียกองครักษ์เงาข้างกาย “ซุยเซ่อ พาศิษย์พี่ไปขึ้นรถม้า” เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่มีการร่ำสุรา ศิษย์พี่จะถูกหามขึ้นรถม้าเป็นประจำ ต่างจากตัวเขาที่มีอาการเมาเพียงเล็กน้อย “พะยะค่ะ” องครักษ์เงาขั้นหนึ่งเดินตรงไปยังสองพ่อลูกพร้อมกับบอก “คุณหนูหวังถอยออกไปก่อน” หวังปิงปิงลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างจากท่านพ่อตามที่บุรุษตัวใหญ่บอกนาง เพราะถึงดึงดันที่จะช่วยไป นางก็ไม่มีแรงอยู่ดี เพียงหนึ่งจิบชาบิดาตัวโตก็ถูกหามออกไปด้านนอกตามติดด้วยขันทีชราหอบหิ้วเสื้อคลุมพะรุงพะรัง เหลือเพียงนางที่ยืนมองฮ่องเต้รูปงามในชุดคลุมสีขาว ผมยาวสยาย นั่งเท้าแขนสองข้างไปด้านหลัง สาบเสื้อของพระองค์ทรงคลี่ออกเล็กน้อยจนเห็นหน้าอกแน่นตึง ดูเหมือน ‘อ่อยเหยื่อ’ “หวังปิงปิงขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ ส่วนผ้าเช็ดหน้าของฝ่าบาท” ชูผ้าเช็ดหน้าสีครีมในมือ “ยังไม่คืนนะเจ้าคะ” “_” ผู้ฟังใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วมองไปทางอื่นโดยมิกล่าวอะไร ท่าทางเช่นนั้นทำเอานางคิดไปถึงหนุ่มหล่อช่างยั่วในภพเดิมของนาง เอาล่ะ!! จะอะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อนางมีโอกาส ‘นางก็อยากจะคว้าและลองรุกดูสักตั้ง!’ “ปิงปิงจะรับผิดชอบ ซักเอง มาส่งเอง” เดินเข้าใกล้ฮ่องเต้รูปงามก่อนจะนั่งคุกเข่าแล้วกล่าว “มาส่งให้ถึงมือเลยเจ้าค่ะ” ^^ ยิ้มหวานและรีบเดินเร็วๆ ออกไปหน้าตำหนัก หัวใจกับจังหวะเดินดังแข่งกัน ตึ่กตั่กๆๆๆ จวบจนนางขึ้นรถม้าออกจากวังไป ‘หึ’ ฟึ่บ! กายแกร่งล้มตัวลงนอนหงายมองท้องฟ้าที่มีพระจันทร์และดวงดาวรายล้อม วันนี้เมามายแต่ไม่หนักมาก ทุกเรื่อง ทุกคำพูดจากบุตรสาวของศิษย์พี่ เขาล้วนรับรู้ ถามว่าพอใจหรือไม่ที่อีกฝ่ายหาญกล้าแสดงท่าทางเหมือนชื่นชม? ถูกใจ? หรือเขินอาย? ต่อตัวเขา ‘ไม่สิ’ ยามนี้ไม่อาจบอกได้ว่าพอใจหรือไม่พอใจเพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาและนางได้สนทนากันเป็นเรื่องเป็นราว ที่ทำได้ในตอนนี้คือรอดูว่านางจะกล้านำผ้าเช็ดหน้ามาคืนด้วยตนเองหรือไม่และในครั้งต่อไป เขาคงได้รู้ถึงจุดมุ่งหมายหลักของนางชัดๆ ว่านางเข้าหาเขาเพราะอยากเสนอตัวเป็นสะใภ้หรือเสนอตัวเป็น...? อะไรสักอย่างที่เขาไม่อยากจะคิด เอาเถอะ!! เมื่อถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ฟ้าลิขิต ดังที่รู้อยู่แก่ใจ ‘ชะตาฮ่องเต้จะมีวันใดที่ได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ บ้าง’ ภาระหน้าที่นั้นมีแทบมิได้เว้น หลังจากส่งนายท่านหวังขึ้นรถม้าไป แล้วรีบกลับมาเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ขันทีสี่สุ่ยมองเห็นทุกอย่างผ่านสายตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สตรีรุ่นลูกนามว่าหวังปิงปิงก้มลงไปกระซิบข้างหูของผู้ครองแคว้นมู่หรือจะเป็นตอนที่ฮ่องเต้ล้มตัวลงนอนหงายเหม่อมองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ แม้ขันทีเช่นเขาจะไม่รู้ว่าคุณหนูปิงปิงกล่าวสิ่งใดกับฝ่าบาท แต่จากอาการที่เห็นนั้นมันดูแปลกไปหมดในสายตาของผู้เฝ้ามองพระองค์มาตั้งแต่แรกเกิด ขันทีชรายังคงยืนเงียบและรั้งรอให้พระองค์เรียกใช้ แต่แล้วเขากลับเห็นขันทียุยวิ่งผ่านหน้าเขาไปแจ้งแก่ฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท เต๋อเฟยมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” “ไม่ได้เรียก ไล่กลับไป” “พะยะค่ะ” ขันทีรุ่นเยาว์วิ่งกลับออกไป เหลือเพียงขันทีชราสี่สุ่ยคนเดิมที่รู้สึกแล้วว่าวันนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ และบางอย่างนั้นกำลังจะทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนไป หากบางอย่างนั้นทำให้ฝ่าบาทมีความสุข ขันทีเช่นเขาจะเป็นฝ่ายสนับสนุน ทดแทนกับช่วงเวลาที่พระองค์ขาดหาย ‘ช่วงเวลาของวัยหนุ่มเมื่อสิบหกปีที่แล้ว กับภาระอันหนักหน่วงบนบ่าของฝ่าบาทที่อายุเพียงสิบสี่ปีและการนั่งบนบัลลังก์ทอง’ บางอย่างที่ข้าคิดนั้น เกี่ยวข้องกับคุณหนูสกุลหวังแน่แล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD