ท้อง

2003 Words
โอบนทียังติดต่อเธออยู่บ้างในช่วงสัปดาห์นี้ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ และส่งรูปเจ้าออตโต้สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์สีดำวัยหนึ่งขวบที่เลี้ยงมาด้วยกันให้เธอดู คุณโอบ : ออตโต้มันวิ่งมารับผมที่รถแล้วก็วิ่งอ้อมรถเหมือนมองหาริชาทุกวันเลย พอไม่เจอก็ซึมๆ รริชาก็น้ำตาคลอ คิดถึงคนแล้วยังมาคิดถึงหมาอีก ริชา : คิดถึงออตโต้นะคะ พอเธอพิมพ์ตอบไปไม่นานนักโอบนทีก็วิดีโอคอลหา รริชาขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะกดรับ เห็นอีกฝ่ายยิ้มสดใสมาเชียว “แป๊บหนึ่งนะครับริชา ผมเรียกออตโต้แป๊บหนึ่ง โต้ๆ” เขาทั้งเรียกทั้งเดินหา จนเห็นเจ้าลูกหมาอยู่หน้าจอ “ออตโต้” รริชาโบกไม้โบกมือ เธอยิ้มกว้างสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ออตโต้เอาหน้ามายื่นๆ หาจอแล้วก็เห่าเหมือนดีใจที่ได้เจอเธอ เห่าไม่หยุดจนโอบนทีต้องกอดและลูบหัวให้สงบลงบ้าง “นั่นใคร” พอเจ้าออตโต้เลิกเห่าโอบนทีก็พูดคุยกับมัน “โฮ่งๆ” รริชายิ้มกับการเห่าสองทีเหมือนมันโต้ตอบ “เป็นไงบ้างออตโต้ วันนี้กินข้าวเยอะไหม” “โฮ่งๆ” มันเห่าเหมือนตอบคำถามเธอเหมือนกัน ก่อนที่เจ้าของมันจะเป็นคนเล่า “ช่วงนี้ไม่ค่อยกินข้าว ซึมๆ เนี่ยผอมลงเยอะ สงสัยคิดถึงริชา ริชามาเยี่ยมมันหน่อยไหม” เธอคิดว่าเขาแค่ชวนไปตามสถานการณ์คงไม่ได้หมายถึงอยากให้เธอกลับบ้านจริงๆ “หรือวันไหนผมว่างจะพาเจ้าออตโต้ไปหาริชานะ” “ได้ค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ แล้วก็คิดว่าเขาคงไม่พามาจริงๆ หรอก “เจอกันนะลอตโต้ กินข้าวเก่งๆ รู้ไหม” “โฮ่งๆ” เห่าตอบเหมือนรู้ภาษา เหมือนตอนอยู่ด้วยกัน อยากกลับไปฟัดสักที เป็นเรื่องที่ทำให้เธอยิ้มได้ในช่วงสามนาทีสั้นๆ แต่พอเขาตัดสายก็ยิ่งเหงาหนักกว่าเดิม คิดถึงหมา...คิดถึงคนด้วย รริชาได้แต่บอกตัวเองว่าต้องทนให้ได้ เมื่อก่อนก็อยู่คนเดียวมาตั้งนาน พอเดือนกว่าๆ โอบนทีก็ค่อยๆ ห่างการติดต่อ มีแค่ส่งรูปเจ้าออตโต้มาให้ดู เธอเองก็ไม่กล้าทักเขาไปก่อนอยู่แล้ว รริชาเข้าใจว่าเขาคงยุ่งๆ กับงาน หรือมันอาจถึงเวลาที่เราควรต้องจบความสัมพันธ์กันแบบเด็ดขาด ที่ผ่านมาโอบนทีอาจแค่ใจดีกับเธอ เป็นห่วงที่เธอต้องใช้ชีวิตคนเดียว เขาเลยยังคอยถามไถ่...แต่ทุกอย่างก็ต้องมีเวลาของมัน และมันชัดเจนขึ้นตอนที่เห็นข่าวซุบซิบของเขากับนรีนาถ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนในวงการบันเทิง แม้จะไม่ได้มีผลงานมากมายเหมือนดาราคนอื่นๆ แต่ก็เป็นคนที่สื่อให้ความสนใจ ด้วยความสวย รวย และไลฟ์สไตล์ต่างๆ พาดหัวข่าวและรูปถ่ายที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ข้อความในเนื้อข่าวและคอมเมนต์ที่เดาไปต่างๆ นานา ทำให้รริชารู้สึกโหวงๆ ในอก และแม้จะบอกให้ตัวเองอย่าสนใจเพราะไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็น จนต้องคลิกเข้าไปดูรายการข่าวที่ซุบซิบเรื่องของทั้งคู่ “คือคนก็เมาธ์กันไปว่าเนสเนี่ยไปเป็นมือที่สามให้ฝ่ายชายเลิกภรรยาหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าไม่มีแน่นอน” “ก่อนหน้าที่ฝ่ายชายจะแต่งงานก็มีข่าวว่าคบกันไง คนเลยโยงว่าเอ๊ะ ถ่านไปเก่าแผลงฤทธิ์หรือเปล่า” พิธีกรอีกคนก็ตั้งข้อสังเกต “คือสองคนนี้เขารู้จักกันมานานแล้ว อารมณ์แบบผู้ใหญ่เขาแซวลูกหลานแหละ แต่ตอนนั้นผู้ชายก็น่าจะมีแฟนที่เป็นภรรยาเขาที่หย่ากันนั่นแหละ” พิธีกรอีกคนเหมือนรู้จักเรื่องของพวกเธอดี แต่ก็ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง “แล้วคิดว่ารอบนี้เขาแอบกิ๊กกั๊กกันจริงไหม” “อันนี้ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ เขาก็เพื่อนๆ กัน แต่ถ้าคบกันจริงก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่เรื่องมือที่สามที่สี่นี่หยุดพูดได้เลย” รริชาก็นั่งดูคลิปนั้นจนจบ และเธอก็ตอบเองว่าทั้งสองคนคงลงเอยกันในไม่ช้า ต่างก็มีใจให้กันอยู่แล้ว ครอบครัวสนับสนุน ถ้าไม่มีเธอมาแทรกในระหว่างนั้นเขาอาจแต่งงานกันไปแล้ว คิดแล้วก็ทำให้ใจเจ็บ จนรู้สึกว่าควรออกไปหาอะไรทำข้างนอก อยู่ในห้องก็มีแต่จะฟุ้งซ่านเปล่าๆ รริชาแค่ออกไปเดินห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เธอใช้เวลาไปกับการ ช็อปปิ้งพอสมควร หวังว่าจะทำให้ตัวเองไม่ต้องเอาเวลาไปคิดเรื่องของคนอื่น ได้ใช้เวลาเดินดูของที่ตัวเองชอบก็ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งได้พอสมควร รริชาแวะดูของใช้ส่วนตัวเป็นลำดับสุดท้าย ตอนที่กำลังเลือกผ้าอนามัยจู่ๆ ก็ใจหล่นวูบ พอนึกถึงช่วงเวลาที่รอบเดือนมาปกติก็จำได้ว่าเดือนนี้ยังไม่มา เลื่อนมาสองสัปดาห์แล้ว ปกติเธอเป็นคนที่รอบเดือนมาตรง มันจึงทำให้ใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้จะพยายามปลอบใจว่าเธออาจเครียดเลยทำให้รอบเดือนเลื่อนเพราะก็เคยเป็น...แต่ก็ต้องตั้งสติและยอมรับ ว่าควรรีบตรวจเพื่อความแน่ใจ รริชาจึงต้องไปร้านขายยาในห้างสรรพสินค้าเป็นจุดสุดท้ายเพื่อซื้อที่ตรวจครรภ์ ขีดสองขีดที่ขึ้นโชว์บนเครื่องตรวจครรภ์ทำให้รริชารู้สึกเหมือนสมองขาวโพลนไปชั่วขณะหนึ่ง มันโหวงๆ บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไร ใจหาย หวาดหวั่นต่ออนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มากมายจนถึงขั้นเครียดจนคิดไม่ตก ทั้งพอปล่อยให้ความรู้สึกแทรกซึมจิตใจ มันก็มีความยินดีลึกๆ โดยไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวผ่อนลมหายใจ บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งคิดไปไกล พรุ่งนี้เธอควรไปหาหมอแล้วตรวจให้มั่นใจ ร่างเล็กทิ้งตัวนอนบนเตียง ข่มตาให้หลับ แต่ไม่อาจบังคับความรู้สึกนึกคิด ที่มันเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าสมมติว่าเธอท้องจริง... เป็นความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่มันจะผ่อนคลาย และคิดถึงแต่ชีวิตเล็กๆ ที่กำลังถือกำเนิดในท้องของเธอ และเผลอไปคิดถึงพ่อของเขาด้วย...จนต้องสั่งตัวเองว่าอย่าเพ้อเจ้อ หากไม่สามารถบังคับความฝันได้ ถ้าตื่นขึ้นมาก็หวังว่าตัวเองจะไม่จดจำภาพความฝันของครอบครัวแสนอบอุ่น เพราะใจมันคงเจ็บในความจริงที่รู้ว่ามันไม่สามารถเป็นไปได้ รริชาพาตัวเองไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า และมันไม่มีอะไรผิดพลาด ด้วยความที่เตรียมใจมาแล้วตอนที่คุณหมอแสดงความยินดีเธอก็ตั้งตัวได้ที่จะยิ้มรับและเอ่ยขอบคุณ “ฝากครรภ์เลยไหมคะ” “ค่ะ” รริชามองสมุดฝากครรภ์สีชมพูด้วยรอยยิ้มจางๆ ตอนนี้มันชัดเจนว่าใจเธอมีความสุขมากกว่าจะตื่นตระหนก และพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตเล็กๆ ที่จะลืมตาขึ้นมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ระหว่างขับรถกลับคอนโดก็วางแผนการใช้ชีวิต วางแผนการใช้เงิน เธอคงยังไม่ทำงานในช่วงปีสองปีนี้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ก่อนเจ้าตัวเล็กจะเข้าโรงเรียน ต้องเริ่มประหยัดและอาจจะมองหางานที่สามารถทำในพื้นที่ของตัวเองได้ หรือถ้าไม่ได้ในช่วงนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเธอก็ต้องอยู่กับลูก เลี้ยงลูกคนเดียว...ต้องเลี้ยงคนเดียวจริงๆ อย่างนั้นหรือ โอบนทีควรจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า พอตั้งคำถามก็เกิดความรู้สึกหนักอึ้งในอก มันไม่ยุติธรรมเลยถ้าเธอจะปกปิดเขา และรริชาเชื่อว่าถ้าโอบนทีรู้เขาจะไม่ทอดทิ้งลูก...แม้เราจะไม่สามารถกลับมาในสถานะเดิมได้ แต่เขาคงเป็นพ่อที่ดีมากๆ เลย ใจหายที่ตอกย้ำกับตัวเองว่าถึงแม้โอบนทีจะรับรู้แต่เราก็ไม่อาจเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกได้ และตอนนี้เธอก็ยังไม่กล้าที่จะบอกเขา ลึกๆ ก็กังวลว่าโอบนทีจะมีท่าทีอย่างไร ถ้าเขาแสดงออกว่าไม่พอใจแม้เพียงน้อยนิดเธอคงแหลกสลายอีกครั้ง รริชาหาอะไรกินข้างนอกเลยแล้วกลับคอนโดทันที เข้าไปอาบน้ำแล้วมานอนเล่นบนเตียงหาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และเรื่องเด็กด้วยความกระตือรือร้นพอสมควร ไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนถึงบรรทัดที่เขาบอกว่าคุณแม่อาจจะง่วงบ่อยก็ถึงบางอ้อว่าช่วงนี้เธอนอนเยอะและง่วงบ่อยจริงๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะเหงา...อย่างตอนนี้ก็ตาจะปิดแล้ว ได้ข้ออ้างให้ตัวเองก็วางโทรศัพท์ลง และหลับไปอย่างง่ายดาย จากที่คิดว่าคงแค่งีบแป๊บเดียวแต่เธอกลับหลับยาวมาถึงบ่ายสี่โมง ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ช้างๆ หูคงไม่รู้จะตื่นหรือเปล่า แต่ก็ยังงัวเงีย กดรับโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา “ริชา ริชาหรือเปล่าครับ” เสียงที่คุ้นหูทำให้แทบจะหายง่วงไปเลย แต่ก็ยังมึนๆ เบลอๆ อยู่ “คุณโอบ ริชาค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ได้ยินเหมือนเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ จากปลายสาย “ผมโทรหาริชาเป็นสิบๆ สาย ริชาไม่รับเลยตกใจว่าริชาเป็นอะไรหรือเปล่า” “คะ” คิ้วขมวดมุ่นไม่คิดว่าเขาจะโทรหาเธอขนาดนั้น ไม่ได้ยินเสียงเลย เพิ่งได้ยินครั้งแรกตอนที่รู้สึกตัวตื่น นี่เธอหลับลึกขนาดนั้น “ริชาน่าจะหลับค่ะ เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” “หืม หลับเหรอครับ ไม่สบายหรือเปล่า” คำถามห่วงใยพานให้หัวใจวูบโหวง มันค่อนข้างละเอียดอ่อนในใจเธอที่โอบนทีสงสัยว่าเธอไม่สบายเพียงเพราะเธอหลับจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เมื่อก่อนเธอแทบจะไม่เคยนอนกลางวัน แม้แต่สมัยเรียน ถ้าเผลอหลับแบบนี้คือไม่สบายจนฝืนไม่ไหว “เปล่าค่ะ แค่ไม่มีอะไรทำเลยนอนเล่นเพลิน” เธอพยายามตอบติดตลกทั้งที่ใจเต้นตึ้กตั้กเนื่องจากคิดถึงสาเหตุที่เพิ่งอ่านเจอที่ทำให้เธอง่วงนอนได้ตลอดเวลาในช่วงนี้...ยังคิดไม่ตกเลยว่าควรบอกเขาไหมหรือบอกตอนไหน โอบนทีก็โทรมาหาเสียอย่างนั้น แล้วประโยคต่อมายิ่งทำให้หัวใจเต้นรัวกว่าเดิม “ผมกำลังไปที่คอนโดนะครับ สักครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง จะพาเจ้าออตโต้ไปหาริชา มันซึมมาก สงสาร” “เอ่อ คุณโอบจะมาเหรอคะ” รริชานิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่งเหมือนกันกว่าจะตั้งสติได้ “ครับ ยังไงผมพามันเดินเล่นที่สวนของคอนโดรอริชานะครับ น่าจะไปถึงสักครึ่งชั่วโมง” เขาย้ำเรื่องเวลาอีกครั้งก่อนจะวางสาย “ถ้าถึงผมโทรหาริชานะครับ ไม่ต้องลงมารอนะ แค่นี้ก่อนนะครับ” “ค่ะ โอเคค่ะ” วางสายแล้วก็ยังนั่งมึนอยู่เลย ไม่คิดว่าโอบนทีจะมาหาเธอเลยจริงๆ แม้เขาจะเคยพูดตอนที่เพิ่งหย่ากันใหม่ๆ แต่ก็คิดว่าคงพูดเล่น ยิ่งเขามาห่างๆ ในช่วงสองสัปดาห์นี้และมีข่าวซุบซิบกับนรีนาถ อีกรริชายิ่งเข้าใจว่าระหว่างเขากับเธอคงไม่มีเหตุผลให้มาเจอกันอีกแล้ว แล้วเรื่องที่เธอท้องลูกของเขา รริชาควรบอกเขาอย่างไรดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD