“ยัยแกงเขียวหวาน!” เขาพูดออกมาเบา ๆ แต่ฉันได้ยินชัดเต็มรูหู!
แงงงงง นี่เขายังไม่เลิกเรียกฉันว่ายัยแกงเขียวหวานอีกเหรอเนี่ย!
เพราะตั้งแต่วันที่ฉันทำแกงเขียวหวานหกใส่เสื้อของเขาวันนั้น เวลาเขาเจอหน้าฉันเขาก็จะเรียกฉันว่ายัยแกงเขียวหวานตลอด ไม่เคยเรียกชื่อฉันเลยสักครั้ง ฮืออออ
พี่เอ็กซ์คิวกดวางสายแล้วเดินตรงเข้ามาหาฉัน หยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนทุกครั้ง ฉันจึงฉีกยิ้มหวานส่งให้เขาไป
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงกึ่งราบเรียบกึ่งไม่พอใจ
“ก็พิ้งค์เรียนที่นี่ไง” ฉันตอบหน้าตายแล้วส่งยิ้มแบบกวน ๆ ให้เขาไป
“เฮ้อ~ แล้วไปเอาเบอร์ฉันมาจากที่ไหน?”
“พิ้งค์ก็ไปขอป้าไหมมาน่ะสิ” ฉันตอบพลางหยักคิ้วให้เขา
“เธอมัน...!” เขาดูหัวเสียเหมือนอยากจะด่าอะไรฉันสักอย่าง แต่ก็ไม่พูดมันออกมา เม้มปากแน่นและกัดฟันขนสันกรามนูนเด่น
อ้อ ที่จริงฉันก็แบกหน้าขอเขาเองตลอดเวลาที่เจอหน้ากันในตอนที่เขากลับมาบ้าน หากแต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้งและชอบทำหน้ารำคาญให้ฉันตลอด ตอนแรกก็กะจะตื๊อจนยอมให้ แต่ไม่ได้เจอเขานานก็เลยต้องแบกหน้าไปเนียน ๆ ขอจากแม่ของเขาแทน
“มันอะไรคะ?” ฉันทำเป็นเอียงคอถามเขาไปแบบเล่นหูเล่นตาใส่เพราะเห็นเขาไม่กล้าด่าฉันออกมา เขาน่ะก็เป็นอย่างนี้ตลอดแหละเวลาที่ฉันหยอกหรือกวนใส่ เขามักจะหัวเสียและทำท่าเหมือนจะด่าฉันตลอด แต่ก็เลือกที่จะไม่ด่าออกมาตรง ๆ เลยสักครั้ง
“สวัสดีค่ะเฟรชชีปีหนึ่ง...”
มีเสียงคนพูดประกาศใส่ไมค์บนเวทีขึ้น แต่ฉันไม่ได้สนใจ กะว่าจะหันไปกวนเขาต่อเพราะเขาไม่ยอมตอบอะไรมา แต่ก็ต้องหยุดความกวนไว้เพราะเขาทำหน้าดุใส่เป็นเชิงให้ฉันหันไปสนใจบนเวที ฉันจึงต้องละสายตาจากเขาแล้วหันไปสนใจพี่ที่พูดอยู่บนเวทีแทน
น่ากลัวจริ้งจริงคนอะไรก็ไม่รู้ คิกคิก
หลังจากที่ฉันหันมาสนใจบนเวทีเขาก็เดินไปไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่งการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่จบลง
“ชะเง้อหาจนคอจะยาวเป็นยีราฟแล้วอีพิ้งค์!” แหวนพูดแซวขึ้นเมื่อเห็นฉันเอาแต่ชะเง้อคอมองหาพี่เอ็กซ์คิวแบบไม่พัก
“ก็กูคิดถึงอ่ะ ได้เจอแป๊บเดียวเอง” ฉันตอบมันไป แต่สายตาก็ยังคอยกวาดคอยชะเง้อมองหาเขาไปเรื่อย
“รีบ ๆ ไปหาข้าวกินเถอะว่ะ กูหิวแล้วเนี่ย!” แหวนบ่นอุบใส่ฉัน ฉันก็เลยจำต้องเลิกมองหาพี่เอ็กซ์คิวแล้วพามันมาหาข้าวกินที่โรงอาหารแทน
“เออ ๆ ก็ได้”
พอพวกฉันสองคนมาถึงโรงอาหารก็หาโต๊ะนั่งทันที โชคดีที่ยังพอมีโต๊ะว่างอยู่
“เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวให้ มึงเฝ้าโต๊ะไว้นะอีแหวน” ฉันหันไปบอกแหวน
“เออ ๆ กูฝากซื้อก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำนะ” พอแหวนบอกเสร็จฉันก็เดินมาต่อแถวซื้ออาหารทันที
“เออมึง กูได้ยินว่าแก๊ง EXTRA ไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะบริหารฯ เว้ย”
“จริงเหรอวะ เราไปกินที่นู่นกันเถอะกูอยากเจอพวกเขา”
ขณะที่ฉันกำลังต่อแถวซื้อข้าวอยู่ หูของฉันมันก็ดันไปได้ยินผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านด้านหลังกำลังพูดคุยกัน พอได้ยินดังนั้นฉันก็หูผึ่งทันที
และแน่นอนว่าฉัน...
ไม่พลาดดดดดดด
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็รีบแจ้นกลับมาที่โต๊ะที่แหวนกำลังนั่งเฝ้าอยู่อย่างรวดเร็ว
“แหวน ไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะบริหารฯ กัน!”
“อะไรของมึงเนี่ย ทำไมต้องถ่อสังขารไปกินถึงนู่น?”
“เถอะน่า ป่ะ ๆๆ”
“เออ ๆ ก็ได้” แหวนทำหน้างุนงงให้ฉันที่จู่ ๆ ก็คะยั้นคะยอให้เปลี่ยนไปกินข้าวที่คณะบริหารฯ แทน แต่กระนั้นมันก็ยอมไปแต่โดยดีค่ะ
พอมาถึงโรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ฉันก็กวาดสายตามองหาโต๊ะนั่งทันที
“ไม่มีที่นั่งเลยว่ะ” แหวนบ่นออกมาเมื่อเราสองคนพยายามมองหาโต๊ะนั่งแล้วแต่ก็ไม่มีว่างเลย
ขณะที่ฉันกำลังทอดถอนหายใจอย่างปลงตก อยู่ ๆ แหวนก็ทำหน้าตาตื่นขึ้นมาแล้วเอามือมาตีที่แขนของฉันเบา ๆ และรัว ๆ
“มึง ๆ”
“อะไรของมึง?” ฉันหันไปขมวดคิ้วถาม นึกขัดใจที่มันเอาแต่ตีแขนฉันและพูดอึกอักอยู่ได้
“เทพบุตรทั้งสี่” แหวนพูดพลางชี้นิ้วให้ฉันมองตามนิ้วของมัน และพอฉันมองตามนิ้วของมันไปก็เห็นว่าเป็นพี่ ๆ แก๊ง EXTRA ที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่สี่คน
“นี่แหละคือเหตุผลที่กูมากินข้าวที่นี่ แฮะ ๆ”
“กูยอมมึงเลยอีพิ้งค์ แต่กูก็ขอบคุณมึงนะที่พากูมาเจออาหารตา” แหวนพูดพลางทำหน้าเขินและแววตาหวานหยาดเยิ้มขณะมองไปที่แก๊งนั้น
“จ้า” ฉันหันไปตอบมันแบบขำ ๆ และสายตาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะว่างที่คนเพิ่งลุกพอดี
“เฮ้ยมึงโต๊ะนั้นว่างแล้ว รีบไปเร็ว!” ฉันบอกแหวนแล้วรีบเดินไปที่โต๊ะนั้นรีบร้อน และด้วยความที่ไม่ระมัดระวังทำให้ฉันชนเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนมาอีกทางอย่างจัง
“โอ๊ย!” คู่กรณีร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบหันไปขอโทษอย่างรวดเร็วด้วยความนอบน้อมและรู้สึกผิด
“เดินให้มันดูตาม้าตาเรือหน่อยไม่ได้หรือไง!” แต่อีกฝ่ายกลับทำเสียงแว้ด ๆ ใส่ฉัน ทำให้ฉันต้องรีบหันกลับไปเผชิญหน้าทันที ยัยเจ๊นี่เป็นผู้หญิงหน้าเฉี่ยว แต่งหน้าจัด ๆ เหมือนโบกรองพื้นมาสิบชั้น ปัดบลัชออนห้ารอบ และทาปากสีแดงเหมือนเพิ่งกินลาบเลือดมา นางมองหน้าฉันพลางทำตาขวางใส่แบบไม่พอใจ ซึ่งฉันไม่ชอบให้ใครมามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ เห็นแล้วมันขึ้น!
“อ้าวเจ๊ ตัวเองก็เดินไม่ดีเหมือนกัน ทางมีตั้งเยอะแยะมาเดินเบียดฉันทำไมฮะ!” ฉันเถียงยัยเจ๊ปากแดงกลับไปอย่างไม่ยอมเป็นต่อ เรื่องอะไรฉันจะยอมโดนวีนอยู่ฝ่ายเดียว
“อ้าวอีนี่ มึงเรียกใครเจ๊!!”
“กูก็เรียกมึงไง คุยอยู่กับมึงจะให้ไปเรียกใครวะอีบื้อ” ฉันไม่ยอมหรอกค่ะ พูดคำหยาบใส่ฉันก่อนฉันก็พูดกลับ ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะแก่กว่า แต่ฉันก็ไม่แคร์ถ้าทำตัวให้ไม่น่าเคารพก่อน
“อ๊ายยยย อีบ้า!!”
“เป็นไรฮะ ผีเข้าเหรอ ถึงได้มาร้องอ๊าย ๆ แล้วก็มองคนอื่นตาขวางแบบนี้อ่ะ!”
“กูจะตบมึง อีเวรเอ๊ย!!” ยัยเจ๊ปากแดงที่กำลังโมโหแบบได้ที่รีบปรี่จะเข้ามาตบฉัน
“เอาสิ มาตบสิ คิดว่ากูจะไม่สู้เหรอฮะ!” ฉันตะคอกยัยเจ๊ปากแดงกลับไปและง้างมือขึ้นเตรียมจะตบคืนถ้ายัยเจ๊ตบฉันก่อน บอกเลยว่าฉันสู้ขาดใจ
“อีพิ้งค์ใจเย็น ๆ” แหวนกระซิบและกระตุกแขนห้ามฉันไว้
ยัยเจ๊ปากแดงชะงักไปเมื่อเห็นว่าฉันจะสู้คืน คงกลัวว่าตัวเองจะมีรอยแดงบนใบหน้าแทนเครื่องสำอางหนา ๆ ละมั้ง
ตอนนี้คนทั้งโรงอาหารหันมามองที่พวกฉันเป็นตาเดียวกัน แล้วก็พากันซุบซิบ
ฉันกำลังกวาดสายตามองคนรอบโรงอาหาร สายตาก็หยุดชะงักที่สายตาคมกริบของคนที่ฉันชอบ เขากำลังมองมาที่ฉันแบบอึ้ง ๆ อยู่
แงงงง ภาพลักษณ์ของฉันเสียหมดเลย เขาไม่เคยเห็นมุมนี้ของฉันมาก่อน ส่วนใหญ่เขาจะเห็นภาพลักษณ์ที่ฉันคอยตื๊อคอยตามตอแยเขา และมองว่าฉันเป็นยัยแกงเขียวหวานหรือยัยเด็กน่ารำคาญมาโดยตลอด
ตาย ๆ หมดกันภาพลักษณ์ฉัน!
ในขณะที่ฉันกำลังมองสบตาเขาอยู่ ทำให้ฉันไม่ทันได้ระวัง ยัยเจ๊ปากแดงจึงฉวยโอกาสเอาน้ำปั่นสาดใส่หน้าฉัน
“เฮ้ยยยย!” ฉันตกใจแบบสุดขีด ตอนนี้ร่างกายของฉันเต็มไปด้วยน้ำสีแดงเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งตัว
“หึ สมน้ำหน้า!” ยัยเจ๊ปากแดงเบะปากใส่ฉันด้วยความสะใจที่เห็นสภาพของฉันเป็นแบบนี้
“มึง อีเจ๊หน้าวอก!!” ฉันก่นด่ายัยเจ๊ปากแดงไปด้วยความเดือดดาลและโมโหขั้นสุด ถ้าเลือดหัวมันไม่ออกอย่าเรียกฉันว่าอีพิ้งค์!
ฉันก้าวขาเตรียมจะตรงเข้าไปกระชากหัวยัยเจ๊ปากแดงมาตบให้หนำใจ ไม่สนแม่งล่ะภาพลงภาพลักษณ์ดี ๆ
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเข้าไปถึงตัวยัยเจ๊ปากแดง จู่ ๆ ก็มีคนมารั้งแขนฉันเอาไว้ซะก่อน
“ใครวะ!?” ฉันหันไปตะคอกใส่คนที่รั้งแขนฉันไว้ แต่ก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะคนที่รั้งฉันไว้คือ พี่เอ็กซ์คิว!