ตอนที่ 3: เชือกฟางกู้ชีพกับช่างซ่อมรถหุ่นแซบ

2396 Words
ความรู้สึกแรกที่กระชากสติสัมปชัญญะของ ภาคิน อัศวเมธา ให้ตื่นจากห้วงนิทรา ไม่ใช่สัมผัสอันนุ่มนวลของเตียงนอนขนห่านไซบีเรียราคาเจ็ดแสน หรือกลิ่นหอมผ่อนคลายของเทียนอโรมา Jo Malone ที่แม่บ้านจุดเตรียมไว้ให้ในเพนต์เฮาส์สุดหรู แต่มันคือ... ความแข็งระดับทำลายล้าง! แข็งชนิดที่ว่ากระดูกสันหลังทุกข้อแทบจะประท้วงหยุดงาน! เขาระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงเอวและไหล่ ราวกับร่างกายอันสมบูรณ์แบบนี้เพิ่งผ่านสมรภูมิรบหรือไม่ก็ถูกจับยัดใส่เครื่องซักผ้าฝาหน้าแล้วปั่นแห้งด้วยความเร็วสูงสุดมาหมาดๆ "โอ๊ย!!" ทำไมถึงได้ระบมไปทั้งตัวขนาดนี้วะ... ภาคินครางในลำคอ พยายามจะพลิกตัว แต่ความเจ็บแปลบที่แล่นปราดขึ้นมาทำเอาถึงกับต้องนิ่วหน้า เขาค่อยๆ ลืมตาปรับโฟกัส สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือหลังคาสังกะสีเก่าคร่ำครึ รอยสนิมเกรอะกรังเป็นลวดลายแอบสแตรกต์ที่ดูน่ากลัวมากกว่าน่ามอง เหนือขึ้นไปมีพัดลมเพดานหมุนเอื่อยๆ ส่งเสียง แอ๊ด... แอ๊ด... กลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ ผสานกับกลิ่นดินและไอแดดลอยมาแตะจมูก ที่นี่ที่ไหน... นรกขุมที่เท่าไหร่... หรือฉันโดนแก๊งลักพาตัวอุ้มมาเรียกค่าไถ่? ความทรงจำสุดท้ายไหลย้อนกลับมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก รถพัง... ควันโขมง... ลิงปามะพร้าว... และผู้ชายใส่ช้างดาว! "เฮ้ย!" ภาคินดีดตัวลุกนั่งด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องรีบกุมขมับ อาการหน้ามืดกลับมาอีกครั้ง เขาหอบหายใจถี่ หลังจากรอเวลาให้อาการดีขึ้นสักพัก จึงกวาดสายตาสำรวจร่างกายตัวเองด้วยความหวาดระแวง สูทอิตาเลียนตัวละแสนอันตรธานหายไป... เหลือเพียงกางเกงสแล็กเปื้อนฝุ่นแดงกับเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมสีขาวที่ถูกปลดกระดุมออกจนหมด สาบเสื้อแบะกว้างเผยให้เห็นแผงอกขาวจัดและลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เขาบรรจงปั้นกับเทรนเนอร์ส่วนตัวที่จ้างมาคอร์สละเป็นแสน ที่ตอนนี้กำลังชุ่มโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ "ตื่นแล้วเหรอคุณ" เสียงทุ้มต่ำติดแหบเสน่ห์ดังขึ้นจากมุมห้อง ภาคินสะดุ้งโหยง เขาหันขวับไปตามทิศทางของเสียงทันที สัญชาตญาณระวังภัยทำงานเต็มพิกัด ที่มุมห้องอีกฝั่งซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือช่างและอะไหล่เครื่องยนต์ระเกะระกะ ผู้ชายคนนั้น... ไอ้หนุ่มช้างดาวที่เขาเจอเมื่อครู่ นั่งไขว่ห้างอยู่บนลังไม้เก่าๆ และกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดคราบน้ำมันเครื่องออกจากมืออย่างใจเย็น วินาทีนั้น ภาคินเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ สายตาปะทะเข้ากับเรือนร่างของอีกฝ่ายแบบ Full HD ชายหนุ่มคนนั้นถอดเสื้อยืดสีดำพาดบ่า เผยท่อนบนเปลือยเปล่าท้าลมร้อน ผิวสีแทนเข้มเนียนละเอียดตัดกับผิวขาวจัดของภาคินอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้กล้ามใหญ่โตเทอะทะแบบพวกบ้าพลังที่ชอบอัดเวย์โปรตีน แต่เป็นกล้ามเนื้อที่แน่นเปรี๊ยะและชัดเจนทุกมัด มีเส้นเลือดปูดโปนตามท่อนแขนแข็งแรงดูทรงพลังแบบคนทำงานหนัก ภาคินไล่สายตาสำรวจอย่างเสียมารยาทด้วยความลืมตัว เขามองตั้งแต่ลาดไหล่กว้าง ไปจนถึงแผ่นอกแกร่งที่ขยับตามจังหวะหายใจ... แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด ที่ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กลับเป็นร่างกายช่วงล่างที่รับกับท่อนบนอย่างน่าอัศจรรย์ เอวสอบคอดกิ่วจนเห็นลอนกล้ามเนื้อวีเชฟชัดเจน หายเข้าไปในขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่าสีซีดที่รัดรูปพอดีตัว ทรวดทรงที่ผสมผสานความความเย้ายวนและความแข็งแกร่งแบบชายชาตรี ทำให้รูปร่างของคนคนนี้ดู 'อันตราย' ต่อจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างน่าประหลาด ไอ้บ้านี่... หุ่นจะดีเกินหน้าเกินตาไปไหมวะ ไหล่กว้าง เอวคอด สะโพกสอบ... พระเจ้าปั้นมาแกล้งกันชัดๆ คนบ้าอะไรหุ่นเซ็กซี่ชิบหาย! ภาคินเผลอคิดในใจอย่างหมั่นไส้ปนอิจฉา ก่อนที่เขาจะรีบสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติ เมื่อเห็นสายตาคมกริบของอีกฝ่ายจ้องกลับมาอย่างรู้ทัน "มองอะไร? ไม่เคยเห็นผู้ชายถอดเสื้อหรือไง" ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามเสียงเรียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เมื่อเขาขยับตัวบิดขี้เกียจ ช่วงเอวสอบและวีเชฟนั่นก็ยิ่งดูโดดเด่นกระแทกตาขึ้นไปอีก "ใครมอง! ฉันไม่ได้มอง!" ภาคินปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด เขาหน้าแดงแปร๊ดลามไปถึงใบหู "ฉันแค่มอง... มองคราบน้ำมันบนตัวนายต่างหาก! สกปรกชะมัด! อาบน้ำซะบ้างนะ!" เขาเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนอาการเขินอาย ในขณะที่ยกมือลูบต้นแขนที่ปวดระบม "แล้วนี่... นายเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงระบมไปทั้งตัวแบบนี้ล่ะ? หรือว่านายแอบซ้อมฉันตอนที่สลบ? บอกมาเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจข้อหาทำร้ายร่างกายนะโว้ย!" ชายหนุ่มเลิกคิ้วเข้ม มุมปากกระตุกรอยยิ้มที่ดูน่าหมั่นไส้พิลึก "ซ้อมทำไมให้เจ็บมือ... ที่ระบมน่ะ เพราะผมต้อง 'ลาก' คุณมาจากถนนนั่นต่างหาก" "ล...ลาก?" ภาคินทวนคำเสียงหลง ตาเบิกกว้าง "นายว่าลากเหรอ?" "ก็เออสิ คุณคิดว่าผมจะอุ้มคุณท่าเจ้าหญิงซ้อนมอไซค์หรือไง" ตะวันอธิบายพร้อมทำท่าประกอบ "คุณตัวสูงอย่างกับเสาไฟฟ้า แถมหนักอย่างกับควายธนู... ตอนคุณลงไปกองกับพื้น ผมต้องแบกคุณขึ้นรถแล้วเอาเชือกฟางมัดคุณติดกับเอวผมไว้ จากนั้นก็ขี่ลุยทางลูกรังกลับมาเนี่ย... หัวคุณโขกหลังผมไปกี่รอบรู้ไหม หลังผมเขียวช้ำไปหมดแล้วมั้ง" ใครเป็นควายธนูไม่ทราบ? ภาคินคิดด้วยความขุ่นเคือง พอจินตนาการภาพตามแล้วก็แทบอยากจะกรีดร้อง... CEO หมื่นล้านแห่งอัศวเมธากรุ๊ปในสภาพหมดสติคอพับคออ่อน ถูกมัดด้วยเชือกฟางสีแดงเส้นละไม่กี่บาทติดกับเอวผู้ชายเหงื่อท่วมตัว ซ้อนมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งกระเด้งกระดอนมาตามทางลูกรังนรกแตก...รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!! มิน่าล่ะ! ถึงได้ปวดไหล่ปวดเอวไปหมด! นี่มันการช่วยเหลือหรือการทารุณกรรมกันแน่! "แย่ที่สุด!" ภาคินหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหปนอับอาย "นายควรจะเรียกรถพยาบาล! หรือไม่ก็โทรเรียก ฮ. มารับสิ! ไม่ใช่เอาเชือกฟางมัดฉันเหมือนหมูเหมือนหมาที่จะเอาไปส่งโรงเชือดแบบนี้! ผิวฉันช้ำหมดแล้วเนี่ยเห็นไหม!" "ที่นี่มันเกาะบ้านนอกนะคุณ จะให้เอา ฮ. มาจากไหน? ยอดมะพร้าวเหรอ? หรือตามโขดหิน? ส่วนรถพยาบาล กว่าจะมาถึงคุณคงเป็นลมแดดตายกลายเป็นผีเฝ้าเกาะไปแล้ว" ชายหนุ่มสวนกลับหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน "เสื้อคุณเปียกจนชุ่มผมก็เลยถอดออกให้ จะได้ไม่เป็นปอดบวมตาย... ถึงอากาศจะร้อนตับแลบก็เถอะ" "..." "ขอบคุณสักคำก็ไม่มี..." ภาคินรับผ้าขนหนูมาอย่างเสียไม่ได้ เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้ชื่อของไอ้มนุษย์ช้างดาวคนนี้เลย "งั้นก็ขอบคุณด้วยแล้วกัน..." ภาคินพูดอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนที่จะเอามือกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้น พยายามเรียกมาดประธานบริษัทกลับคืนมา "ฉันชื่อภาคิน... ภาคิน อัศวเมธา นายจะบอกได้หรือยังว่านายเป็นใคร? ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ จนภาคินเผลอถอยหลังกรูดไปติดผนัง กลิ่นกายของเขาผสมกับกลิ่นสบู่จางๆ ลอยมาเตะจมูก "ผมชื่อตะวัน" แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เรียบง่าย แต่หนักแน่น "เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถที่คุณนั่งอยู่นี่แหละ... แล้วก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตคุณมาจากดงลิงเมื่อกี้ด้วย" ตะวันจ้องตาภาคินกลับอย่างไม่ลดละ "จำใส่สมองอันชาญฉลาดของคุณไว้ด้วยครับ คุณภาคิน" "ตะวัน..." ภาคินทวนชื่อเบาๆ ชื่อเชยชะมัด แต่ก็... เข้ากับหน้าคมๆ ของหมอนี่เหมือนกันแฮะ "ใช่ ตะวัน" เจ้าของชื่อย้ำ "ทีนี้เลิกถามมาก แล้วรีบดื่มน้ำซะ ปากแห้งคอแห้งจะตายอยู่แล้ว ยังจะโวยวายได้อีก" ตะวันยื่นขันใส่น้ำที่ตักมาจากโอ่งดินเผาใบใหญ่ให้ภาคิน เขาไม่ได้เอื้อมมือเข้าไปรับ ได้แต่มองขันใบนั้นด้วยสายตารังเกียจ "นี่น้ำอะไร?" "น้ำฝน" "น้ำฝน?!" ภาคินทำหน้าเหมือนตะวันยื่นไซยาไนต์ให้เขา "นายจะบ้าเหรอ! น้ำฝนมันมีเชื้อโรค! มีฝุ่น PM 2.5! มีแบคทีเรีย! ฉันกินแต่ Evian หรือไม่ก็ Voss เท่านั้น! นายมีน้ำแร่ไหม? หรืออย่างน้อยก็ขอเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีฉลาก อย. ผ่านระบบ RO ก็ยังดี" ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองภาคินด้วยสายตาเอือมระอาสุดขีด เขาไม่ตอบแต่ยกขันขึ้นดื่มเองอึกๆ จนหมด แล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะดัง ตึง! "งั้นก็นั่งคอแห้งตายไปตรงนั้นแหละ ที่นี่ไม่มีน้ำแร่จากเทือกเขาหรอก มีแต่น้ำฝนรองจากหลังคาสังกะสี จะกินไม่กิน?" ภาคินกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขาหิวจนแทบขาดใจ คอก็แห้งผากเหมือนทะเลทรายซาฮารา มองหยดน้ำที่เกาะอยู่ข้างขันอย่างชั่งใจ ศักดิ์ศรี CEO ผู้อนามัยจัดกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอดกำลังตีกันอย่างดุเดือด เอาวะ... ความกระหายชนะทุกสิ่ง "กินก็ได้วะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!" ภาคินแย่งขันที่ตักน้ำมาใหม่จากมือตะวัน กระดกเข้าปากรวดเดียวเหมือนคนอดอยาก ความเย็นฉ่ำและรสหวานนิดๆ ของน้ำฝนธรรมชาติไหลลงคออย่างรวดเร็ว มันสดชื่นจนเขาเผลอส่งเสียง "อ๊า..." ออกมาอย่างลืมตัว ตะวันมองภาพคุณชายตกยากซดน้ำฝนจากขันบุบๆ แล้วกระตุกยิ้มมุมปาก โดยที่ภาคินผู้กำลังฟินกับน้ำไม่ทันสังเกต "แล้ว... แอร์ล่ะ?" ภาคินถามต่อหลังจากรอดตาย "ร้อนจะตายอยู่แล้ว เหงื่อฉันออกจนจะหมดตัวแล้วเนี่ย เปิดแอร์หน่อยสิ รีโมทอยู่ไหน?" "มองขึ้นไปข้างบน" ตะวันชี้นิ้วเรียวยาวไปที่เพดาน "..." ภาคินมองตาม "พัดลมเนี่ยนะ?" "นั่นแหละ แอร์ระบบหมุนเวียนธรรมชาติ ประหยัดไฟเบอร์ 5" ตะวันตอบกวนๆ "ที่นี่ไฟไม่พอติดแอร์หรอกคุณ อยากเย็นกว่านี้ก็ไปโดดคลองหลังบ้านเอา" ภาคินทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนเสื่อน้ำมันอย่างสิ้นหวัง เขาหนีงานหนีพ่อมาเพื่อเจอสวรรค์ แต่ดันมาติดแหง็กอยู่ในอู่ซ่อมรถซอมซ่อ กับผู้ชายปากหมานิสัยกวนประสาทที่ชื่อตะวัน "แล้ว... แล้วน้องริชชี่ล่ะ!" เขานึกขึ้นมาได้ว่าแก้วตาดวงใจของเขายังจอดอยู่ข้างถนน "ริชชี่?" "รถของฉันไง! นายคงไม่ได้เอาเชือกฟางลากลูกสาวฉันกลับมาด้วยใช่ไหม!" "อ๋อ... ตั้งชื่อให้รถด้วยเหรอ น่ารักดีนะ" ตะวันพูดด้วยน้ำเสียงที่เดาไม่ออกว่าชมหรือประชด "จอดอยู่หน้าอู่ ผมวานลุงคนรู้จักให้เอาอีแต๋นไปลากมา... แต่บอกไว้ก่อนนะ สภาพดูไม่ได้เลย หม้อน้ำแห้งสนิท เครื่องน็อก ช่วงล่างก็น่าจะพังยับเยิน... บ้าหรือเปล่า เอาซูเปอร์คาร์โหลดเตี้ยมาลุยดงหญ้าคาเนี่ยนะ ใช้สมองส่วนไหนคิด" "นี่นายด่าฉันเหรอ!" ภาคินตาโต ลุกขึ้นยืนชี้หน้า "ฉันไม่ได้บ้า! จีพีเอสมันพามา! นายบอกว่านายซ่อมรถได้ใช่ไหม? ซ่อมรถให้ฉันหน่อย ฉันรีบ... ฉันอยู่ที่นี่นานไม่ได้หรอก ราคาเท่าไหร่ว่ามา! ฉันมีเงิน! ฉันรวย!" "ที่นี่เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะคุณ โดยเฉพาะมารยาท" ตะวันตอบเรียบๆ เขาเดินไปหยิบเสื้อยืดสีดำตัวเดิมมาสวม ปกปิดกล้ามเนื้อแน่นๆ เอาไว้ จากนั้นก็หันมามองภาคินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป... ไม่ใช่สายตากวนประสาทอย่างเมื่อครู่ แต่มันดูจริงจังและเคร่งเครียดกว่าเดิมหลายเท่า "ผมไปดูรถคุณมาคร่าวๆ แล้ว..." ตะวันเว้นจังหวะพลางเดินเข้ามาใกล้ ในมือถืออุปกรณ์หน้าตาประหลาดคล้ายแท็บเล็ตสำหรับจูนเครื่องยนต์แต่ดูไฮเทคกว่าแล้วชูมันให้ภาคินดู "รถคุณไม่ได้แค่เครื่องฮีตเพราะอากาศร้อนหรอกนะคุณภาคิน..." "ห...หมายความว่าไง?" ภาคินยันตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกคามบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในความเงียบ "ระบบกล่อง ECU ของรถคุณ... มันโดนเจาะ" ตะวันเอ่ยเสียงเรียบ แต่คราวนี้ไม่มีแววขี้เล่นหลงเหลืออยู่เลย "มีคนเขียนโค้ด 'Logic Bomb' วางยารถคุณไว้ สั่งให้พัดลมหม้อน้ำหยุดทำงานและล็อกระบบเบรกทันทีที่รถวิ่งเกิน 100 กิโลเมตร... ดูนี่สิ" เขายื่นหน้าจอที่มีกราฟสีแดงพุ่งสูงให้ดู สิ่งที่ทำให้ภาคินชาวาบไปทั้งร่างไม่ใช่กราฟบนหน้าจอ แต่เป็นน้ำเสียงเย็นเยียบของตะวัน "นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ... แต่มีใครบางคนอยากให้คุณตาย หรือไม่ก็ติดแหง็กอยู่บนเกาะนี้" ความเงียบเข้าปกคลุมอู่ซ่อมรถในทันที เสียงพัดลมเพดาน แอ๊ด... แอ๊ด... เหมือนจะดังขึ้นมาจนบาดหู กลิ่นน้ำมันเครื่องที่เคยเหม็นฉุน ตอนนี้กลับทำให้ภาคินรู้สึกคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียน มือของภาคินสั่นระริก... โลกสีชมพูหรูหราของเขาพังทลายลงตรงหน้า ความหนาวเหน็บแล่นพล่านไปทั่วไขสันหลัง ทั้งที่เหงื่อกาฬกำลังแตกพลั่ก ตะวันก้าวเข้ามาประชิดตัว ใช้ดวงตาสีดำสนิทคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นไหวของภาคิน ราวกับจะรีดเค้นความจริงออกมา "คุณไปทำอะไรให้ใครแค้นมาหรือเปล่า... คุณภาคิน?" วินาทีนั้น ภาคินตระหนักได้ทันทีว่า... สิ่งที่น่ากลัวกว่าคนที่ปองร้ายเขา อาจจะเป็นผู้ชายตรงหน้านี้ก็ได้ ผู้ชายที่ชื่อ ตะวัน... คนที่เพิ่งเปลี่ยนแววตาจากช่างซ่อมรถบ้านนอกธรรมดา ให้กลายเป็น 'นักล่า' ภายในเสี้ยววินาที!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD