“เพลง!” เสียงเรียกของผู้จัดการส่วนตัวทำให้เพลงขวัญที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของอดีตนั้นสะดุ้งสุดตัว
“คะ? เอ่อ...พี่ซานิมีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวรีบตอบกลับพร้อมหันมองรอบตัว ก่อนจะพบว่ารถจอดลงที่ลานจอดวีไอพีเรียบร้อยแล้ว ส่วนซานิเองก็ยืนอยู่ที่ประตูฝั่งข้างคนขับ เปิดรอเอาไว้พร้อมทั้งจับแขนของตนอยู่ด้วย
“ตอนอยู่บนรถพี่เรียกเราตั้งหลายคำ เห็นเรานั่งเฉย ไม่พูดไม่ตอบ คงกำลังคิดอะไรอยู่เลยปล่อยให้เหม่อ แต่นี่พี่จอดรถจนลงมาเปิดประตูให้ก็แล้ว ยังไม่เห็นเราหือเราอืออะไรจนต้องเขย่าแขนนี่แหละ” ซานิบ่นอุบ “คิดอะไรอยู่เพลง บอกพี่ได้ทุกเรื่องนะ เราสัญญากันแล้วใช่ไหมคะคุณลูก ว่ามีความลับอะไรก็ต้องห้ามเก็บไว้คนเดียว มันส่งผลต่อหน้าที่การงานของหนูนะเพลง”
“คือ…” เพลงขวัญลากเสียง เหงื่อซึมออกมารวมถึงอุณหภูมิมือที่เริ่มเย็นลงด้วย “ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ซานิ คือเพลงแค่กังวลว่าวันนี้จะทำออกมาได้ดีหรือเปล่า..”
“โกหกพี่อยู่ใช่ไหมตัวแสบ เราน่ะ เป็นพรีเซนเตอร์ลิปมาตั้งไม่รู้กี่สิบยี่ห้อแล้ว ทารีวิวจนปากจะเปื่อย ออกอีเวนต์บ่อยจนส้นสูงแทบสึก พี่มั่นใจว่าเราไม่ได้กังวลเรื่องงานนี้แน่ ๆ มีอะไรก็บอกพี่มาตรง ๆ เลยดีกว่าเพลง”
เพลงขวัญสบตาเข้ากับผู้จัดการของตน แต่แล้วก็ต้องก้มหน้าตอบกลับด้วยคำแก้ตัวเดิม ๆ “เพลงเปล่าค่ะ…จริง ๆ นะคะพี่ซานิ คือเพลงแค่…เพลงแค่นอนไม่พอค่ะ แต่โกหกพี่ซานิว่าหลับเต็มที่แล้ว เพลงก็เลยกังวลว่าอาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่ค่ะ”
ซานิระบายรอยยิ้มโล่งใจออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น “โถ…พี่ก็นึกว่าเครียดเรื่องอะไร ที่แท้ก็เหม่อเพราะง่วงนี่เอง ไม่เป็นไรนะเพลง ทีหลังบอกพี่ตรง ๆ ได้ พี่จะช่วยคุยกับผู้จัดเรื่องสคริปต์คำถามให้นะ คำถามอันไหนที่มันไร้สาระเกินกว่าจะตอบพี่จะกาทิ้งให้หมดเลย เราจะได้มีเวลาลงมาพักหลังเวทีเยอะ ๆ โอเคไหมลูก มีอะไรก็บอกพี่ตรง ๆ ได้นี่นา ไม่เห็นต้องเก็บไว้คนเดียวเลย”
“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่ซานิ เป็นธุระให้เพลงอีกแล้ว” เพลงขวัญลงจากรถแล้วสวมกอดผู้จัดการของตน “ขอโทษนะคะ มีเรื่องให้พี่ซานิหนักใจตลอดเลย อย่าเพิ่งเบื่อเด็กดื้อคนนี้นะคะ”
“ย่ะ ใครจะไปเบื่อหล่อนลงคะ แม่นางฟ้าของพี่ซานิ ไปค่ะ ไปเตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวสายกว่านี้แล้วจะแย่เอา” ซานิจูงมือดาราสาวในความดูแลของตนที่ความสนิทสนมนั้นแทบจะเป็นพี่สาวน้องสาวกันจริง ๆ อยู่แล้วให้เข้าไปในงาน
เพลงขวัญแย้มรอยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างน้อยในวันนี้ก็ยังมีพี่ซานิที่ใจดีกับเธอ..
…
ฉงชิ่ง, ประเทศจีน
“คุณมาถึงก่อนเวลานัด ทำเอาผมประทับใจไม่เบาเลยนะ มิสเตอร์เมฆา” ภาษาอังกฤษสำเนียงติดจีนแปร่ง ๆ เอ่ยขึ้น พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เดินขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของบาร์ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อต้อนรับลูกค้าธรรมดาทั่วไป
“ผมรู้ดีว่าการสร้างความประทับใจในครั้งแรกเป็นเรื่องดี ยินดีที่ได้พบกันครับ มิสเตอร์เผิงซิ่ว” เมฆาที่เพิ่งลงเครื่องแล้วเดินทางต่อเนื่องมายังบาร์แห่งนี้ลุกขึ้นต้อนรับ พร้อมกับชูแก้วไวน์ขึ้น “นั่งพักแล้วจิบไวน์ให้ชื่นใจก่อน ค่อยคุยกันนะครับ”
“ยินดี ยินดี” คราวนี้เผิงซิ่ว ผู้มีอิทธิพลที่สุดในฉงชิ่งด้านธุรกิจสีเทาค่อนไปทางสีดำ ได้หยิบภาษาจีนกลางขึ้นมาใช้ในการสนทนา มือที่สวมแหวนทองครบทุกนิ้วคว้าเอาแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นดื่มตามคำเชิญชวนของเมฆา พร้อมกับนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ แล้วลูกน้องของเผิงซิ่วก็รีบนำเอกสารประวัติส่วนตัวของเมฆาไปยื่นให้กับหัวหน้าของตนอ่าน
เผิงซิ่วถอดแว่นดำออก แล้วไล่สายตาอ่านพลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจไปด้วย “สำหรับมิสเตอร์เมฆาแล้ว ไม่ต้องอ่านครบทุกหน้า ผมก็ตกลงตามข้อเสนอครับ มาชนแก้วกันหน่อยมา”
เมฆาแย้มรอยยิ้มเย็นเยือก แล้วยกแก้วขึ้นสูง “เชียรส์”
“เชียรส์” เผิงซิ่วชื่นชอบการเจรจาธุรกิจที่ง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก ไม่ต้องมีพิธีรีตองสิบยี่สิบขั้น จึงนึกถูกอกถูกใจชายหนุ่มไทยแท้ที่นั่งอยู่ด้วย “สาวที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยที่สุด เรียกได้ว่าเทียบสี่ยอดพธูเลยทีเดียว อยากได้สักคนไหม ที่ชั้นสามมีห้องวีไอพีไว้รองรับความสนุกกับพวกเธอด้วยนะ”
เมฆาวางแก้วไวน์ลงอย่างใจเย็นพร้อมกับตอบเสียงเรียบ “น้ำใจจากคุณ ผมขอแค่เครื่องดื่มก็พอ ส่วนที่เอ่ยมาเมื่อครู่ ไม่ต้องการครับ”
“…ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ” เผิงซิ่วเอ่ยแผ่ว ๆ เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่พาร์ตเนอร์ของตนปฏิเสธการร่วมหลับนอนกับหญิงสาวที่จะจัดหาให้ เขาพลิกอ่านประวัติของเมฆาก็ไม่พบข้อมูลการแต่งงานหรือผูกมัดกับใครเลยแม้แต่คนเดียว
ลูกน้องในไทยที่เขาเคยใช้ให้ไปสืบมาก็ไม่พบว่าเมฆา ธาราพิพัฒน์คนนี้จะมีครอบครัวหรือภรรยาที่ไหนแม้แต่คนเดียว
“ไม่รับ…ก็ไม่รับ มาเซ็นสัญญากันเถอะ ลูกน้องของคุณที่ยืนอยู่ตรงนั้นทำท่าทำทางเหมือนมีเรื่องด่วนอยากจะบอกคุณ” เผิงซิ่วบุ้ยปากไปท่างบอดีการ์ดหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างโซฟาฝั่งของเมฆา
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างรักษาท่าที ลายเซ็นของทั้งคู่ถูกจดลงบนกระดาษ เป็นอันว่าสัญญาที่ทำต่อกันนั้นสมบูรณ์ เผิงซิ่วเพียงแต่ยกแก้วขึ้น ไม่มีคำบอกลา ผู้ทรงอิทธิพลแห่งฉงชิ่งทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยเอาไว้สืบหาต่อในอนาคตเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าพวกของคู่เจรจาทางธุรกิจสีเทาของเจ้านายเดินออกไปครบแล้ว เอริค บอดีการ์ดหนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาลีที่ยืนอยู่ก็รีบเดินเข้ามารายงานในสิ่งที่ตนเพิ่งรับเรื่องมาให้กับเมฆาได้ฟังทันที
“เจ้านายครับ มีสายโทร.จากประเทศไทยว่านายใหญ่ต้องการพบเจ้านายด่วนมากครับ”
“มีเรื่องอะไรอีก...” เมฆาถามทอดเสียง มือหนาคว้าเอาแก้วไวน์ที่ยังมีเครื่องดื่มค้างอยู่มากขึ้นมาจิบ นายใหญ่ที่เอริคพูดถึงก็คือพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง
“ท่านต้องการคุยกับเจ้านายเรื่องการขยายสาขาของบริษัทครับ”
เมฆาวางแก้วลง ดวงตาคมมองตรงแน่วโดยไม่หันไปหาลูกน้อง หากเป็นเรื่องงานแล้ว เขาก็หมดข้อจะปฏิเสธการเรียกตัวจากผู้เป็นพ่อ “เตรียมตั๋วเครื่องบินให้ที ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้”
“ครับเจ้านาย” เอริคก้มหัวรับคำเจ้านายของตนอย่างไร้ข้อขัดแย้ง...