“พวกมึงลืมกูไปแล้ว”
“มึงจะเอาเหรอวะไอ้กาย มึงไม่รู้เหรอพวกกูเป็นใคร อย่างมึงกูไม่เคยเห็นลงแข่งสักครั้ง”
“มีดีแค่คอยเช็ดรถเปลี่ยนล้อให้เพื่อน ยังจะอยากโชว์พาวฯ”
“สัสเอ๊ย”
“นั่นดิ ตายขึ้นมาพวกกูไม่รับผิดชอบนะเว้ย ขับรถเป็นเปล่าเฮอะ”
ฮ่า ๆ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะหยันของพวกตัวน่ารังเกียจ ฉันแหงนหน้ามองคนหน้าคมที่กำลังออกหน้าเพื่อตัวเอง ใจอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กระตุกชายเสื้อเขายิก ๆ ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นพี่เขาลงสนามสักครั้ง
“เป็นไม่เป็น เดี๋ยวพวกมึงก็รู้”
“พี่...”
ฉันอยากบอกเขาว่าไม่เป็นไร ฉันอยากลงวัดกับพวกมันสักตั้งเหมือนกัน ไม่เชื่อหรอกว่าจะเอาชนะพวกทรามนี่ไม่ได้
“ห่วงตัวเองเถอะ เธอไม่รู้หรือไง เรื่องบางเรื่องมันไม่ใช่แค่การเอาชนะกับความสะใจ”
“แต่...”
“มีอะไรนาเนียร์ เกิดอะไรขึ้น”
ก่อนฉันจะทันได้ห้ามปรามเขา ชมพูกับขนมก็วิ่งเข้ามาหา ตามมาด้วยพี่ศิลป์กับพี่ธีม
“เกิดไรขึ้น” พี่ศิลป์ถามซ้ำ
“รอบต่อไป พวกมึงเจอกู” พี่กายบอกกับพวกนั้นเสียงราบเรียบและเป็นคนดึงฉันออกจากกลางวงล้อม นั่นทำให้เพื่อนฉันกับเพื่อนเขาต้องเดินตามมาถามรายละเอียด พอทุกคนรู้เรื่องเท่านั้น ฉันต้องคอยดึงเพื่อนไว้ ชมพูทำท่าจะปรี่ไปตีหัวพวกนั้น ส่วนพี่ศิลป์ส่งสายตามาดร้ายมองพวกเตชิน ส่วนพี่ธีมตบหลังตบไหล่เพื่อนรักพลางส่งเสียงเตือน
“มึงใจร่ม ๆ นะเว้ยไอ้กาย”
ในการแข่งคืนนี้ ไม่ใช่เป็นการเอารถสปอร์ตหรูมาแข่งกัน แต่เป็นรถยี่ห้อต่าง ๆ ที่แต่งกันแบบจัดเต็ม มีทั้งรถเก๋งและรถกระบะ นอกจากแข่งความเร็ว ก็เป็นการอวดความสวยงามของตัวบอดี้รถด้วย
“พี่ศิลป์ พี่ต้องเล่นพวกมันเลยนะ กล้ามาดูถูกนาเนียร์แบบนี้” ชมพูยังโวยวายไม่หยุด เขย่าแขนพี่ชายยิก ๆ
“พี่เล่นมันแน่ คิดจะมาเคลมน้องสาวพี่ ไม่ง่ายแบบนั้นหรอกโว้ย” พี่ศิลป์กระแทกเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะพาตัวเองลงไปในสนาม
ฉันมองไปที่รถกระบะแต่งคันใหญ่ การแข่งครั้งนี้ไม่เหมือนแข่งบนถนนทั่วไป มีการเตรียมการเรื่องความปลอดภัยไว้ระดับหนึ่ง ทั้งแพทย์สนาม และชุดสำหรับคนลงแข่งด้วย
กายสูงสมาร์ตที่สวมชุดแข่งสีน้ำเงินแดงยืนอยู่ข้างรถ กำลังคุยกับพี่ธีม พอพี่ศิลป์วิ่งเข้าไปหา เขาหันหน้ามองมาตรงจุดที่ฉันกับเพื่อนกำลังยืน
“ที่จริงปล่อยกูจัดการก็ได้”
“นาเนียร์จะชนะแน่เหรอ” ขนมผิงหันมาถาม สีหน้าห่วง ๆ เสียงหวานเนิบตามอุปนิสัย พูดเพราะ เรียบร้อยและขี้เกรงใจ
“ไม่ใช่มึงไม่เก่งนะนาเนียร์ แต่พวกไอ้ริชมันเหี้ย ชอบเล่นตุกติก คราวก่อนที่มึงกลับบ้านแล้วไม่ได้มากับกูอะ พวกแม่งนั่นมันเล่นคู่แข่งจนเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้ยังไม่ออกมาเลย”
ชมพูกอดบ่าฉัน บีบเบา ๆ
“ใช่ ๆ วันนั้นผิงมากับชมพูด้วย น่ากลัวมาก รถงี้ปลิ้นตั้งหลายตลบแน่ะ ติดตาอยู่หลายวันเลย บรื้อ...”
“กลัวแต่ก็ยังมา” ฉันขำเบา ๆ ให้เพื่อนใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงดูนิสัยใจคอ แต่ตาฉันมองหน้านักแข่งจำเป็น เขาเองก็มองฉันเหมือนกัน แม้จะกำลังคุยกับพี่ศิลป์
ได้ยินเสียงขนมผิงหัวเราะ
“บางทีผิงก็คิดนะว่า ตัวเองอาจจะเป็นมาโซคิสม์อะ กลัวแต่ก็อยากรู้อยากเห็น”
“เหรอ...” ชมพูหันไปหยิกแก้มเพื่อนพลางหัวเราะตามอีกคน
“ไม่รู้พี่เขาจะไหวไหม”
“ห่วงพี่กายเหรอมึง”
“ห่วงดิ เขาต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องของกู”
“หลังแข่งเสร็จมึงก็เอาตัวใส่พานเป็นรางวัลให้พี่เขาดิ พี่กายหายเหนื่อยแน่กูว่า”
“หูย... ชมพูอ่า พูดไรไม่รู้ เด็กใส ๆ อย่างผิงหน้าร้อนหมดละเนี่ย”
“สตออะดิอีผิง มึงอะมันใสแอ๊บแบ๊ว”
ฉันส่ายหน้าให้สองคนที่หันไปตีกันเอง ใช่อย่างที่ชมพูพูด ฉันกับชมพูเป็นพวกห่าม ๆ ตรง ๆ ต่างกับนิสัยนุ่มเนิบของขนมผิง แต่เรื่องความแหล พวกเรามีทัดเทียมกันแน่นอน
“จะแข่งแล้ว”
การแข่งนี้ไม่ได้มีแค่พี่กายกับไอ้คนชื่อริช แต่มีเพื่อนของมันอีกสองคน ฝั่งพี่กายมีพี่สองและพี่ศิลป์ด้วย ทั้งหมดขึ้นประจำที่ตำแหน่งคนขับ ชั่วขณะนั้นก่อนธงจะสะบัด เขาหันมามองฉัน ก่อนพารถกระบะแสนดุดันของเขาทะยานพุ่งออกไปพร้อมกับคันอื่น ๆ
กติกาง่าย ๆ แข่งกันทั้งหมดสามรอบสนาม ใครเข้าเส้นชัยก่อนคือผู้ชนะ
ใจฉันถึงกับเต้นครึกโครม กดดันมากกว่าลงแข่งเองซะอีก
“ไม่ต้องห่วงหรอกมึง ทีมเราชนะชัวร์”
ชมพูบีบไหล่ฉันเบา ๆ ก่อนส่งเสียงร้องเชียร์ร่วมไปกับคนอื่น ๆ
จอขนาดใหญ่ฉายภาพเรียลไทม์ รถทั้งหมดเรียงหน้ากระดานจนถึงช่วงทางโค้งแรก เริ่มเรียงตัวกันในช่องเดียว รถพี่กายตามหลังรถริชที่ขึ้นนำที่หนึ่ง ตามด้วยพี่ศิลป์กับพี่สอง อีกสองคันพยายามเข้าแทรกแต่ทำไม่ได้ เหมือนว่าทั้งสองคนคอยบล็อกให้พี่กายวัดกับริช
ฉันคิดไม่ผิด เข้าโค้งที่สอง รถพี่กายขึ้นนำ และเป็นการนำแบบทิ้งห่าง ก่อนเขาจะพยายามเร่งความเร็วขึ้นประกบแต่ไม่สามารถแซงได้
“พี่เขาขับรถเก่งขนาดนี้เลยเหรอ”
“พูดว่าเก่งขั้นเทพก็ไม่น่าเกลียดเลยมึง เป็นแบบนี้กูว่าพี่แกนำม้วนเดียวจบแน่ หายห่วงได้แล้ว”
“คนหล่อขับเก่งนี่ทำให้รู้สึกว่าหล่อเพิ่มอีกสามพันเปอร์เซ็นต์อ่า”
“มันแน่อยู่แล้วย่ะยายผิง”