กอดเด็กน้อยสักพักก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกคล้ายกับว่าจะอบอุ่น มีความผูกพันและความรักอยู่ในนั้นด้วยทุกครั้งที่มองไปที่ฉินอวี้เฉิน เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วก็น่าจะเป็นความรู้สึกที่เจ้าของร่างเดิมมีให้กับลูกชาย คล้ายกับว่าเหวินเจียวเมิ่งคนเดิมจะฝากฝังให้นางช่วยดูแลฉินอวี้เฉินด้วย
ก่อนหน้านี้เห็นเขานั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทำตาแป๋วจากนั้นก็ร้องไห้ก็รู้สึกเอ็นดูและหลงรักเด็กน้อยขึ้นมา ฉินอวี้เฉินเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าจะอายุเพียงสองขวบกว่าแต่ว่าเขาก็ฉลาดและเข้าใจอะไรมากกว่าที่เด็กอายุเท่านี้ควรจะเป็น เด็กน้อยน่ารักรู้ความถึงเพียงนี้แล้วท่านพ่อกับท่านย่าก็ยังไม่แม้แต่จะเอ็นดูเลย ช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาแล้วรู้สาเหตุการตายของเจ้าของร่างเดิม สิ่งแรกที่เหวินเจียวเมิ่งคนใหม่จะทำก็คือสืบหาตัวคนร้ายที่วางยานางเพื่อชดใช้ให้เจ้าของร่าง และคนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นภรรยารองของฉินเป่ยซวน เพราะฟางหรงหรงคนนี้ตั้งแง่กับนางมาตั้งแต่แรกแล้ว
ฟางหรงหรงเป็นหลานสาวของแม่สามีซึ่งอาศัยอยู่ในจวนนี้มาสักพักแล้ว ตั้งแต่ที่เหวินเจียวเมิ่งแต่งเข้ามานางก็คอยยุยงให้แม่สามีเกลียดลูกสะใภ้มากขึ้นไปอีก
มองเห็นลูกชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกับสำรับอาหารที่เย็นชืดไปแล้วนั้นจึงได้เอ่ยถามลูกชายว่า "อวี้เฉิน เจ้าทานข้าวหรือยังลูก"
"ยังไม่ได้ทานขอรับท่านแม่ ข้ารอท่าน" ฉินอวี้เฉินตอบทั้งน้ำตา ตอนนี้เขาดีใจที่แม่ฟื้นขึ้นมาจนเขาเองก็ลืมความหิวไปแล้ว ลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้า
ได้ยินคำตอบแล้วนางก็ยิ่งสงสารเขามากกว่าเดิม จึงไม่รอช้าเปิดประตูออกไปเพื่อที่จะบอกสาวใช้ว่าให้ไปเอาสำรับอาหารชุดใหม่มาให้ "เจียงฮุ่ย เจ้าช่วยไปเอาสำรับอาหารชุดใหม่มาหน่อยสิ อวี้เฉินไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้าแล้ว"
เจียงฮุ่ยสาวใช้ทำหน้าตาเหมือนไม่อยากรับคำสั่งและยังคงนั่งเฉยทำเป็นไม่ได้ยินอะไร นางไม่ทำตามที่เจ้านายสาวบอกจนเหวินเจียวเมิ่งต้องพูดอีกครั้ง
"นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอกหรืออย่างไรว่าตอนนี้คุณชายน้อยหิวแล้ว ให้เจ้าไปเอาสำรับอาหารชุดใหม่มาให้"
"ก็ไปเอาเองสิเจ้าคะ ข้ามิใช่สาวใช้ประจำกายของฮูหยินกับคุณชายน้อยสักหน่อย ข้าเพียงแต่เฝ้าพวกท่านตามคำสั่งของฮูหยินรองเฉย ๆ" เจียงฮุ่ยตอบอย่างไม่สนใจ ถึงอย่างไรที่ผ่านมานางก็ไม่เคยฟังคำสั่งของเหวินเจียวเมิ่งอยู่แล้ว เพราะมีแม่สามีของเหวินเจียวเมิ่งกับฟางหรงหรงให้ท้าย
"เจียงฮุ่ย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้จะกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ไม่คิดหรืออย่างไรว่าข้าเองก็มีมือมีเท้ามีกำลังเช่นกัน หากว่าเจ้ามีเรื่องกับข้าแล้วเรื่องถึงหูบิดาของข้า เจ้าคิดว่าฐานะสาวใช้อย่างเจ้าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่" เหวินเจียวเมิ่งพูดกับเจียงฮุ่ยด้วยถ้อยคำฉะฉานพร้อมทำท่าเงื้อมือขึ้นมาหมายจะขู่ให้เจียงฮุ่ยกลัว อีกฝ่ายตกใจคิดว่านางจะกล้าตบตีบ่าวรับใช้จริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮูหยินแล้วเจียงฮุ่ยก็รู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ท่าทางและแววตาดุดันเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติฮูหยินหรือจะกล้าทำเช่นนี้ แต่ครั้งนี้กลับทำให้นางกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา
"จะไปได้แล้วหรือยัง" เหวินเจียวเมิ่งสั่งอีกครั้งด้วยเสียงที่แสดงอำนาจและไม่พอใจ
"เจ้าค่ะ" เจียงฮุ่ยรีบวิ่งออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
หลังจากที่เจียงฮุ่ยออกไปได้ไม่นานก็มีหมอท่านหนึ่งเดินเข้ามา คนในจวนต่างก็ตามเข้ามาด้วย ทั้งสามีและแม่สามีมากันพร้อมหน้า เนื่องจากก่อนหน้านี้ฉินอวี้เฉินตกใจที่มารดาของตนหลับไปนานจึงเข้ามาปลุกก็พบว่ามารดาไม่หายใจแล้ว เด็กน้อยกังวลมากรีบวิ่งไปบอกบิดา ฉินเป่ยซวนจึงได้ให้คนไปตามหมอมาตรวจดูพอเป็นพิธี ไม่คิดว่าอยู่ ๆ นางจะตื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"ฮูหยิน นั่งลงให้ข้าตรวจดูสักหน่อยเถิด" ชายชราผมและหนวดเคราสีขาวเห็นว่านางยังยืนมองอยู่จึงเอ่ยขึ้น
ท่านหมอจับดูชีพจรของนาง เขาเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองนี้นับว่ามีฝีมือในการรักษาที่เก่งกาจอยู่พอตัว เพียงแค่จับชีพจรครั้งเดียวก็รู้แล้วว่านางถูกพิษมา เมื่อมือสัมผัสเส้นชีพจรเขาก็ออกอาการตกใจเล็กน้อย เพราะพิษที่วิ่งอยู่ในร่างกายนั้นเป็นพิษที่รุนแรงถึงตาย แต่ว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้กลับยังแข็งแรงดี
"ฮูหยินถูกพิษทำร้ายร่างกายจนบอบช้ำหนัก คาดว่าต่อไปอาจจะไม่สามารถมีลูกได้อีก หากจะมีก็ยากนัก" แม้จะสงสัยว่าเหตุใดนางจึงทนพิษได้ แต่ท่านหมอก็กล่าวออกมา สีหน้าของเขามีความเสียใจและกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เหวินเจียวเมิ่งเองกลับไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย นางยังคงวางท่าทีเรียบเฉย มีลูกไม่ได้ก็ดีเสียอีกสามีเจ้าของร่างเดิมจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับนาง
หมอชราหยิบกระดาษกับพู่กันออกมาแล้วเขียนเทียบยาให้กับเหวินเจียวเมิ่ง "นี่เป็นเทียบยาสำหรับฟื้นฟูร่างกาย ฮูหยินเอาเทียบยานี้ไปแล้วซื้อมาต้มกินเถิดจะได้ฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้นในเร็ววัน ส่วนเรื่องการมีบุตรนั้นพวกเราคงต้องค่อย ๆ หาทางแก้ไขกันไปเมื่อร่างกายของท่านดีขึ้น"
"ขอบคุณท่านหมอ" เหวินเจียวเมิ่งรับใบสั่งยามาโดยไร้ความกังวลใด ๆ ในแววตา ยิ่งทำให้ท่านหมอสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดนางจึงไม่มีความกังวลเลย
ตอนที่ท่านหมอบอกว่านางอาจจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกนั้นสีหน้าของสามีและแม่สามีจากที่ไม่พอใจอยู่แล้วกลายเป็นไม่พอใจหนักขึ้นไปอีก แม่ไก่ในเมื่อออกไข่ไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี ส่วนฟางหรงหรงนั้นพอได้ยินก็ยิ้มหน้าระรื่น เพราะครั้งนี้นางสามารถทำให้เหวินเจียวเมิ่งกลายเป็นคนไร้ค่าได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ตายตามที่นางต้องการก็เถอะ แต่ก็คงอยู่ในจวนนี้ไปอย่างไร้ความหมายและทุกข์ใจเป็นแน่
เมื่อทุกคนกลับไปแล้วเหวินเจียวเมิ่งก็มานั่งคิดวิธีที่จะสืบหาความจริงเรื่องที่ฟางหรงหรงวางยาเจ้าของร่างเดิม นางบอกให้ลูกชายไปเล่นข้างนอกหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ เมื่อเค้นความทรงจำอีกครั้ง นางก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติ
ก่อนที่เจ้าของร่างเดิมจะตายนางดื่มซุปเยื่อไผ่ที่ปกติแล้วนางจะไม่มีโอกาสได้กิน เนื่องจากเป็นของแพง แม่สามีมักบอกเสมอว่าสิ้นเปลือง แต่ว่าเมื่อวานตอนเย็นนางกลับได้ซุปเยื่อไผ่มาในสำรับอาหารถ้วยหนึ่ง เป็นไปได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ฟางหรงหรงส่งมา
นางคิดจะหาหลักฐานด้วยการเข้าไปค้นในห้องของฟางหรงหรง ตอนเย็นทุกคนจะไปร่วมรับประทานอาหารกันที่ห้องโถงด้านหน้าซึ่งเหวินเจียวเมิ่งไม่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมด้วยเนื่องจากแม่สามีและสามีไม่ชอบ นี่กลับเป็นโอกาสดีที่นางจะได้ค้นหาความจริง หญิงสาวจึงใช้เวลานี้แอบเข้าไปในห้องของฟางหรงหรง แล้วนางก็ค้นเจอพิษหงอนกระเรียนแดงที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักห่อหนึ่ง
ก่อนกลับมาที่เรือน เหวินเจียวเมิ่งก็เข้าครัวไปทำกับข้าวด้วยตนเอง เนื่องจากสาวใช้ทั้งหมดถูกฟางหรงหรงห้ามไว้ว่าไม่ให้รับใช้นางกับลูกเด็ดขาด แต่เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้นางเป็นกังวลอะไรเลย ดีเสียอีกเพราะทำเองปลอดภัยกว่าการกินอาหารที่คนอื่นเอามาให้
พอทำเสร็จก็นำกลับไปให้ลูกชาย แต่ระหว่างทางกลับก็เห็นว่าฉินอวี้เฉินกำลังถูกบ่าวรับใช้รุมแกล้ง เหวินเจียวเมิ่งเห็นแล้วทนไม่ไหววางของในมือลงแล้วเดินปรี่เข้าไปทันที นางผลักบ่าวรับใช้พวกนั้นกระเด็นออกไปคนละทิศคนละทางก่อนจะดึงลูกชายมาหลบอยู่ข้างหลัง
"พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาแกล้งบุตรชายของข้า คิดว่าข้าเป็นสตรีแล้วไม่กล้าสู้พวกเจ้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าบิดาข้าเป็นผู้ใด" เหวินเจียวเมิ่งประกาศเสียงกร้าวด้วยความโมโห เหตุใดคนที่นี่ถึงใจร้ายกับนางและลูกนัก
การกระทำของนางครั้งนี้ทำเอาบ่าวรับใช้ที่อยู่ตรงนั้นถึงกับงุนงงและรู้สึกกลัวขึ้นมา พวกเขาไม่เคยเห็นฮูหยินเป็นเช่นนี้มาก่อน วาจาท่าทางและแววตานั้นช่างดุดันน่ากลัวยิ่ง จนทุกคนคิดไปว่ามีวิญญาณมาสิ่งนางหรืออย่างไร เมื่อนางยกบิดาขึ้นมาขู่ก็ยิ่งทำให้พวกเขากลัวหนักขึ้นไปอีก จึงรีบแยกย้ายกันไปโดยเร็ว
เหวินเจียวเมิ่งพาลูกชายมาทำแผล เด็กน้อยดีใจมากที่แม่ออกมาปกป้อง อีกทั้งยังคอยดูแลเขา นางเห็นเขาน้ำตาซึมก็คิดว่าเขาเจ็บจึงเอ่ยถามเบา ๆ "อวี้เฉินเจ็บหรือไม่ หากว่าเจ็บแม่จะทำให้เบามือลง"
"ไม่เจ็บขอรับ ข้าเพียงแค่ดีใจที่ท่านแม่ปกป้องข้า" ฉินอวี้เฉินตอบอย่างไร้เดียงสา เด็กน้อยคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น
คำตอบของเขาทำให้เหวินเจียวเมิ่งเกิดความรู้สึกสะท้อนใจ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าของร่างเดิมไม่เคยปกป้องลูกชายเลย อย่าว่าแต่จะปกป้องลูกแม้แต่ปกป้องตัวเองก็ยังทำไม่ได้ จึงทำให้สองแม่ลูกถูกกดขี่ โดนกลั่นแกล้งมาจนถึงตอนนี้