“ผมยังไม่คิดเรื่องนี้หรอกครับ คงอีกนาน อีกอย่างเนื้อคู่ผมยังไม่เกิด…” เขาบอกยิ้มๆ ที่ผ่านมาเขาเจอคนถูกใจมากมาย แต่คนที่ใช่ยังไม่เคยเจอ กลัวแต่ว่าพอเจอ ก็กลายเป็นคนมีเจ้าของไปแล้ว…
“ได้ข่าวว่าพี่ทัตพาสาวเข้าบ้านเหรอครับ” คราวนี้ดนุเดชถามยิ้มๆ คนถูกถามถอนหายใจเฮือก
“คุณแม่ฟ้องนายสิท่า”
“ก็ไม่เชิงน่ะครับ ท่านบ่นๆ เฉยๆ ว่าแต่คนนี้เอาจริงเหรอครับ ถึงพาเข้าบ้าน” ถามด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ฉันท์ทัตไม่พาใครเข้าบ้านอีกเลย…
“เปล่า…” เขาตอบ แต่กลับไพล่นึกไปถึงเจ้าของร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอย่างห้ามไม่ได้ ดนุเดชขมวดคิ้ว มองผู้มีศักดิ์เป็นพี่แล้วนึกขัน ปากบอกเปล่า แต่สีหน้ากลับดูสดชื่นขึ้นทันทีที่เขาเอ่ยถาม…
“แต่ผมว่างานนี้อาจมีพลิกล็อคนะครับ” อดไม่ได้ที่จะแซ็ว แต่อีกฝ่ายยังคงเงียบ จึงนึกอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนใหม่และพิเศษของฉันท์ทัต แต่เมื่ออีกฝ่ายยังเฉย เขาเลยเปลี่ยนเรื่องคุย
“อาทิตย์หน้ามีงานเลี้ยงที่บ้านลุงโนช รู้หรือเปล่าครับ” เขาเอ่ยถึงนายมาโนชผู้เป็นลุง อีกฝ่ายจึงพยักหน้า
“รู้แล้ว คุณลุงโทร.มาบอกฉันเอง” ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนดนุเดชกำลังนึกถึงคนที่เป็นหลานชายคนสนิทของลุงโนช
“พี่ทัตรู้หรือเปล่าครับเรื่องนายสิน…”
เจ้าของดวงตาสีเข้มตวัดมองคนถามพลางพยักหน้า
“รู้... กลับมาได้สักพักแล้วละ”
“เห็นว่ากลับมาคราวนี้มาขอให้ลุงโนชช่วยเรื่องธุรกิจ” เปรยพลางมองพี่ชาย ฝ่ายนั้นขยับตัวยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสบาย ไม่เดือดร้อนใจอะไร
“คุณลุงยังเงียบ ท่านว่ายังก่อน เพราะคราวที่แล้วนายสินทำขาดทุนไปเยอะ”
“อ้อ… แต่ผมว่ายังไงนายสินก็ต้องหาทางทำให้คุณลุงยอมอนุมัติให้ได้นั่นแหละครับ” เขาเปรยอย่างคนรู้ไส้รู้พุงกันดี
จิรสิน ญาติผู้พี่อีกคนที่ไม่ค่อยชอบหน้าฉันท์ทัต และคอยปัดแข้งปัดขาอีกฝ่ายมานาน แต่ฉันท์ทัตก็ไม่เคยคิดจะเอาเรื่อง ไม่เคยไยดีจิรสิน แต่ฝ่ายนั้นกลับตามตอแยทุกครั้งที่มีโอกาส ธุรกิจโฆษณาที่เปิดขึ้นก็หวังแข่งขันกับฉันท์ทัต ทว่ากลับขาดทุนไม่เป็นท่า แต่ก็ยังยื้อ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุง ดันทุรังไปอย่างไร้ทิศทาง ทำให้อะไรๆ ดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงไปทุกที…
“เรื่องนั้นก็คงต้องแล้วแต่คุณลุง ถ้าท่านจะให้ มันก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ก็หลานแท้ๆ ของท่านนี่นะ ไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย” เปรยอย่างไม่ยี่หระ ไม่ได้เกี่ยวข้อง เพียงแต่มองอยู่ห่างๆ ห่วงอย่างห่างๆ และมักนั่งฟังอีกฝ่ายปรับทุกข์เสมอๆ จนบางครั้งยอมรับว่าอยากจะสั่งสอนจิรสินให้หลาบจำ และหากเขาจะทำจริงๆ ฝ่ายนั้นไม่มีวันมาลอยหน้าลอยตาแบบนี้แน่…
“เฮ้อ… ถ้าอย่างนั้นเจอกันอีกครั้งอาทิตย์หน้านะครับ”
ดนุเดชกล่าวพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บิดกายซ้ายขวา ฉันท์ทัตก็ลุกตาม
“ได้ เจอกันอาทิตย์หน้า”
“ครับ ผมไปละ”
ผู้เป็นเจ้าบ้านเดินตามไปส่ง ยืนคุยอยู่อีกสองสามคำ ดนุเดชจึงขับรถออกไป ส่วนชายหนุ่มเองก็กลับขึ้นห้อง
ประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามาทำให้สองสาวที่กำลังนั่งคุยอย่างออกรสต้องหยุดชะงัก แป๋วหันมองนายจ้างของตนแล้วหันไปบอกกับมิ่งขวัญเบาๆ ว่า
“พี่ไปก่อนนะคะ”
ฉันท์ทัตมองสาวใช้ที่ยอบตัวผ่านหน้าเขาออกไปแล้วหันกลับมายังหญิงสาว ร่างบางผุดลุกจากพื้นห้องเพื่อเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
“คุยอะไรกันอยู่” เมื่อครู่ยังเห็นบนใบหน้าหวานมีแต่รอยยิ้ม แต่พอเขาเข้ามารอยยิ้มนั้นกลับเหือดหายในพริบตา
“ก็เรื่องทั่วไปค่ะ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”
ฉันท์ทัตมองคนที่ทำหน้าเรียบสนิทแล้วขยับเข้าไปหา หญิงสาวเหลือบตามองขยับตัวเตรียมตัวรับมืออีกฝ่าย ไม่เคยไว้ใจเขาเลยสักนิด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้…
“ทำไมต้องทำท่าแบบนี้” เขามองคนที่ทำท่าระวังตัวแจนั้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เอ่อ ก็…” หญิงสาวอึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ทำไมถึงชอบทำเหมือนไม่อยากให้ผมเข้าใกล้นัก” เขามองหญิงสาวด้วยนัยน์ตาขุ่นๆ “อย่าทำแบบนี้อีก ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
เขาไม่รอให้หญิงสาวตอบแต่รวบร่างบางเข้ามากอดและขึงตาใส่คนที่ทำท่าจะขัดขืนอีกครั้ง
“จะทำอะไรคะ” ถามอย่างหวั่นๆ ไม่ชอบให้เขาปากว่ามือถึงเลยสักนิด
“ก็กอด แล้วเดี๋ยวก็จะจูบ...”
มิ่งขวัญเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นดันอกตึงแน่นของเขาทันที
“อย่าค่ะ เดี๋ยวก่อน” หญิงสาวยกมือขึ้นดันใบหน้าคมที่ก้มลงหา แต่อีกฝ่ายกลับไซ้ปากจมูก ลากหนวดเคราเป็นตอลงกับฝ่ามือนุ่ม ทำให้คนที่ทำท่าจะห้ามชาวาบไปทั้งมือลามไปทั่วทั้งแขน
“อย่าดื้อ จะสอนให้ชิน” เขาบอกพลางพลิกใบหน้าออกจากฝ่ามือเล็ก แล้วซบไซ้ลงยังซอกคอหอมๆ ก่อนจะพึมพำเบาๆ ไม่สนใจอาการยุกยิกของคนตัวเล็กในอ้อมแขน “คุณนี่เหมือนลูกหมาที่ผมเคยเลี้ยงนะมิ่งขวัญ”
คนถูกเปรียบเทียบเป็นสัตว์เลี้ยงถึงกับแข็งค้าง หน้าแดงเถือกโกรธเป็นริ้วๆ จนควันออกหู
“คุณทัต!!”
“แถมเป็นลูกหมาที่ผมรักมากเสียด้วยสิ”
คราวนี้คนตัวบางนิ่งอึ้ง ยิ่งได้สบตาคมกริบที่มองมายิ้มๆ ก็ยิ่งนิ่งงัน
“มันน่ารักมาก ตัวเล็ก สีขาว ตอนเด็กๆ ผมตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าปุกปุย ขนมันนุ่มน่ารัก แต่มันก็พยศเอาการ ดื้อ ซน ไม่ค่อยจะฟังผมเท่าไร แต่มันก็เป็นแค่ลูกหมา จะพยศยังไงก็ยังสู้ผมไม่ได้อยู่ดี… เหมือนคุณ”
หญิงสาวตั้งสติได้ก็ทำตาวาว ที่เขาพูดมาทั้งหมดนี้เพราะต้องการเปรียบเทียบหล่อนกับหมาหรือไง!!
“ฉันไม่ใช่ลูกหมาของคุณ…” เจ้าของเสียงหวานโต้กลับ ดวงตาเรืองรองเขียวปัด แต่ฉันท์ทัตไม่ยักโกรธ มิหนำซ้ำยังอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา
“ใช่สิ! คุณเป็นลูกหมาของผม ลูกหมาน้อยน่ารักจอมพยศ”
หญิงสาวทำตาถลน เคืองที่เขาเห็นหล่อนเป็นลูกหมา…
“บ้า!! ฉันไม่ใช่”
“ใช่!”
“ไม่ใช่ อุ๊บ!!” คนเถียงหัวชนฝาถูกปิดปากด้วยปาก ได้แต่ร้องอึกอักในลำคอเมื่อถูกจูบอย่างเร่าร้อน เป็นนานกว่าฉันท์ทัตจะยอมผละจากริมฝีปากอิ่มหวาน เขาประคองร่างบางที่อ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนแล้วกล่าวเบาๆ ขณะที่เจ้าหล่อนยังพร่าเบลอ
“พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานกับผม เตรียมตัวไว้ด้วย เรื่องเสื้อผ้า ผมสั่งให้คนเอามาให้แล้ว ไม่ต้องห่วง”
คนที่งงงันกะพริบตาสองสามครั้ง พอได้สติก็ผลักเขาออกห่าง คราวนี้ฉันท์ทัตไม่ยื้อ เขาปล่อยหล่อนแล้วกอดอกหลวมๆ มองคนหน้าแดงด้วยความพอใจ
มิ่งขวัญรีบขยับตัวออกมาจากเขาเสียห่าง ใจคอไม่ดีนัก ทั้งสั่นและเต้นแรง อับอายในสิ่งที่เขาทำก่อนจะถามออกมาว่า
“เสื้อผ้าอะไรคะ”
“ชุดทำงาน ได้มาแล้วก็ลองเลือกๆ ดูแล้วกัน ชอบชุดไหนก็เอาไว้” พูดไม่ทันขาดคำเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ใคร มีอะไร?” เขาร้องถามออกไป เสียงคนด้านนอกจึงตอบกลับมา
“เสื้อที่คุณทัตสั่งเอาไว้ได้แล้วค่ะ”
ชายหนุ่มสบตากลมโตที่มองเขาอย่างงงๆ แล้วหมุนตัวตรงไปยังประตู เปิดกว้างให้สาวใช้เข้ามาภายในห้อง มองคนของร้านที่ลำเลียงถุงกระดาษและกล่องต่างๆ เข้ามา
“ดิฉันนำเสื้อและของใช้ต่างๆ มาส่งค่ะ ถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้ทันทีเลยนะคะ” พนักงานร้านเสื้อผ้าชื่อดังกล่าวกับชายหนุ่ม
“ขอบคุณมาก ถ้ามีอะไรขาดเหลือจะบอกไปก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันลานะคะ” พนักงานของร้านเดินชักแถวออกไปจากห้องของชายหนุ่ม เหลือเพียงสาวใช้ที่ยังอยู่รอคำสั่ง
“ให้หนูจัดของเข้าตู้เลยหรือเปล่าคะ” เอ่ยถามพลางมองทั้งสองสลับกันไปมา
“ยังไม่ต้อง ให้คุณมิ่งเธอเลือกดูก่อน เผื่อมีตัวไหนไม่ถูกใจจะได้ส่งกลับ เสร็จแล้วค่อยมาเอาเข้าตู้”
“ค่ะ” รับคำพร้อมกับถอยออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูให้อย่างมิดชิด จนเมื่ออยู่กันตามลำพังหญิงสาวก็ยังนิ่งอึ้งกับกองของใช้ขนาดมหึมา จากห้องกว้างๆ ก็ดูเหมือนจะแคบลงในพริบตาเดียว…
“เลือกที่ชอบเอาไว้นะ หรือจะเอาไว้ทั้งหมดก็ได้ ตามใจคุณ”