ท่ามกลางหมอกบางเบาที่ลอยเคลื่อนผ่านยอดเขาในยามเช้าตรู่ ความเงียบสงบของไร่ชาถูกขับไล่ด้วยเสียงเกือกม้าที่กระทบพื้น มือทั้งสองของเขากำเชือกบังเ**ยนม้าตัวผิวเข้มมุ่งหน้าไปยังไร่กาแฟของเพื่อนสนิทอย่างอัครา
กลิ่นของกาแฟที่ลอยมาตามลมเมื่อปัฐทวีมาถึงที่บ้านของอัครา ร่างแกร่งวาดขาลงจากหลังม้าก่อนที่จะมีคนงานวิ่งเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดี๋คั๋บป้อเลี้ยง เป๋นใดสบายดีบ๋อครับ? บ่อป๊ะกั๋นจ้าดเมินขนาดเน้อ” คนงานเอ่ยทักทายพ่อเลี้ยงปัฐทวีอย่างเป็นกันเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของคนงานในไร่หอมกรุ่นอยู่แล้ว
“สบายดี ช่วงนี้งานที่ไร่ยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ค่อยได้แวะมา ว่าแต่ไอ้อัคอยู่ไหม?” พ่อเลี้ยงเอ่ยถามพลางยื่นเชือกบังเ**ยนให้คนงานที่ยืนอยู่ตรงหน้า
พ่อเลี้ยงอัคราได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังอยู่หน้าบ้านจึงได้เดินออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของตนจึงเอ่ยทักทายขึ้นทันที “เช้าขนาดนี้กูจะไปไหนได้วะ”
“ก็แบบนี้ไงกูถึงได้มาหามึงตั้งแต่เช้า”
“แล้วน้องทัศเป็นยังไงบ้างวะ?”
พ่อเลี้ยงปัฐถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่หน้าบ้าน “ก็ยังอยู่ดีครบสามสิบสอง เพิ่มเติมคือมีแม่กูเป็นพวก”
“คือยังไงนะ...แม่มึงกลับมาแล้วเหรอ? ทำไมวันนั้นกูไป แล้วกูไม่เห็นวะ”
“มาอยู่ได้หลายวันแล้ว แต่วันนั้นแม่กูเขาไปวัดกับเพื่อนมึงก็เลยไม่เห็น”
“แล้วแม่มึงไปเป็นพวกกับน้องทัศได้ยังไงวะ?”
“เรื่องนั้นค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้มึงจะเชิญกูเข้าบ้านมึงได้หรือยัง กูหิวกาแฟจนจะกินหัวมึงได้แล้วนะเว๊ย”
“เชิญครับคุณเพื่อน” อัคราพูดพร้อมมองเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะยกมือขึ้นผายเพื่อเชิญให้เพื่อนของเขาให้เดินเข้าไปในบ้าน
ทั้งสองได้เดินเข้ามายังห้องรับแขกของบ้าน ก่อนจะลดตัวลงนั่งพร้อมกันด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย ไม่นานนักแม่บ้านก็ยกกาแฟมาเสิร์ฟพร้อมกับขนมปังอบใหม่ ๆ
“ไอ้อัคเรื่องที่กูให้มึงช่วยสืบเป็นยังไงบ้างวะ?”
“ไอ้พ่อเลี้ยงมันลักลอบปลูกฝ**นที่ชายแดนฝั่งนู้นจริง ๆ มันติดสินบนเจ้าหน้าที่ทั้งฝั่งเราแล้วก็ฝั่งเขา ใช่ชาวเขาขนฝ**นเอามาขายที่ฝั่งไทย ไม่พอนะมึง! มันยังลักลอบตัดไม้ในป่า ทำให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตายไปไม่รู้แล้วกี่นาย”
“เป็นอย่างที่กูคิดเอาไว้ไม่มีผิด แม่งสารเลวกันฉิบหาย!!!”
“ยังไม่หมดเว๊ยมึง มึงจำงานวันเกิดของเอื้องคำในวันนั้นได้ป่ะ ที่กูไม่ได้เข้าไปในงานด้วย”
“เออ กูก็ว่าจะถามอยู่พอดีว่ามึงหายหัวไปไหน”
“กูไปหาตำรวจคนหนึ่งมา แล้วเอารายชื่อของพวกที่มาร่วมงานไปเช็คประวัติอาชญากรรม สรุปแม่งมีประวัติทุกคนแต่รอดคดี มึงคิดว่ายังไง”
“ทำไมคนเลว ๆ มันถึงได้มีเยอะเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดวะ จิตใจแม่งทำด้วยอะไร”
เขายักไหล่เล็กน้อยก่อนจะหันมามองเพื่อนสนิท “เพราะเงินไงมึง มีเงินก็เท่ากับมีอำนาจคับบ้านคับเมือง อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะทำตัวสารชั่วแค่ไหนก็ได้”
“กูล่ะเกลียดจริง ๆ ไอ้พวกเห็นแก่เงิน แล้วก็ไอ้พวกตำรวจรับใช้โจรพวกนั้น! รับเงินเดือนจากภาษีประชาชนแท้ ๆ แต่กลับหันไปรับใช้คนที่มันทำร้ายประชาชน”
“เออ...แล้วคนงานที่มึงจับได้ล่ะ มึงเอาไปไว้ไหน”
“คนพวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แค่ว่าเขาให้ไปส่งของแล้วก็จะได้เงินส่งกลับไปบ้าน ตอนนี้กูส่งคนพวกนั้นไปฝากไว้กับไร่ชาฝั่งนู้นแล้ว พ่อเลี้ยงอมรคงตามตัวไม่เจอแล้วแหละ”
“แล้วมึงจะเอาไงต่อกับพ่อเลี้ยงอมรวะ?”
“ก็ต้องทำตัวเป็นมิตรหาหลักฐานต่อไป”
“ป้อเลี้ยงครับ ป้อเลี้ยง มีต๋ำหนวดมาหาครับ” คนงานที่ทำงานอยู่หน้าบ้านวิ่งเข้ามารายงานกับผู้เป็นนาย
“มาได้จังหวะนรกมาก!” อัคราหันไปบ่นกับตัวเองเสียงเบา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร นายตำรวจหนุ่มก็เดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าที่ดูรีบร้อนและจริงจัง
“พ่อเลี้ยงผมมีเบาะแส...พ่อเลี้ยงปัฐทวี?” ดอนชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าปัฐทวีคนที่ไม่ค่อยลงรอยกับเขากำลังนั่งอยู่ภายในห้องนั้น
“ไอ้ปัฐกู...”
“ไอ้ตำรวจที่ว่าคือไอ้นี่น่ะเหรอ?” ปัฐทวีพูดสวนขึ้น
“คือ...กูอยากให้มึงลองวางอคติลงดูบ้าง เพราะสารวัตรเป็นตำรวจที่ดีนะเว้ย”
“มึงควรดูให้ดี ๆ นะ ว่าตำรวจคนนี้ดีแต่เปลือกหรือเปล่า”
“การที่คุณพูดแบบนี้... คุณรู้ไหมว่ามันถือเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่” ดอนกล่าว พร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ ๆ ปัฐทวี ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปัฐทวีอย่างไม่เกรงกลัว “ผมสามารถดำเนินคดีกับคุณได้นะครับพ่อเลี้ยงปัฐทวี”
“ใจเย็น ๆ กันก่อนนะครับสารวัตร” เจ้าของบ้านกล่าวกับนายตำรวจหนุ่ม ก่อนจะหันไปดุเพื่อนสนิทของตนที่นั่งอยู่บนโซฟา “ไอ้ปัฐปากอย่าหาเรื่องดิวะ!!!”
“ผมว่าเรามาคุยเรื่องของสารวัตรกันดีกว่านะครับ เชิญนั่งก่อนะครับ” อัคราผายมือเชิญนายตำรวจ
ปัฐทวีที่นั่งอยู่บนโซฟาฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเสียงดังอย่างไม่พอใจ ก่อนลุกขึ้นจากโซฟาแล้วปรายตาไปมองนายตำรวจด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “ไอ้อัคกูว่ากูกลับก่อนดีกว่า เพราะว่าบ้านมึงตอนนี้มันสกปรกจนกูอยากจะอ้วก”
“ก็ยังดีกว่าใครบางคนที่ทำตัวเป็นหมาบ้าพาลกระแซง”
“มึงว่าใคร?”
“ผมพูดลอย ๆ ใครอยากรับก็รับไป”
สิ้นเสียงของดอนปัฐทวีก็หันหลังกลับไป แล้วกระชากคอเสื้อของดอนนายตำรวจหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยมือข้างหนึ่ง จนตัวนายตำรวจหนุ่มสะท้านไปตามแรงดึง พร้อมกับมืออีกข้างที่ง้างหมัดกระแทกเข้าไปที่ใบหน้าของดอนอย่างจัง
ผั๊วะ!
ดอนกัดฟันกรอดและไม่ยอมให้ตัวเองเสียหลัก เขาใช้มือขวาเช็ดเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากมุมปาก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นสวนกลับไปทันที ทำให้ปัฐทวีเซถอยหลังไปเล็กน้อย
“ผมตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานกับคุณได้นะ ถ้าคุณยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แบบนี้”
“ฉันรู้นะว่าที่แกมาที่นี่ก็เพราะอยากเจอทัศ แกไม่ได้อยากจะมาสืบคดีอะไรหรอก”
“ทัศแต่งงานกับคุณแล้วข้อนี้ผมรู้ดี ซึ่งผมก็จะรักษาระยะห่างตลอดสัญญาของคุณ แล้วเมื่อไหร่ที่ทัศหย่ากับคุณ ผมก็จะมารับคนของผมคืนทันที”
“พูดจาต่อหน้าผัวของเขาแบบนี้ มันใช้ได้เหรอวะ!”
“ก็แค่ในนาม ก็แค่หัวโขนที่คุณสร้างขึ้นก็เท่านั้น”
ในขณะเดียวกันอัคราที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ฟังการโต้เถียงกันของทั้งสองคน เมื่อได้ยินคำพูดทั้งหมดอัคราก็ตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าเพื่อนสนิทของตนจะแต่งงานกับทัศได้ และที่สำคัญทัศก็ไม่ใช่แค่คนงานในไร่ชาอย่างที่เคยบอก
“ไอ้ปัฐ... สารวัตร นี่มันเรื่องอะไรกัน ตกลงแล้วน้องทัศเป็นใครกันแน่?” เจ้าของบ้านเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“มึงก็ถามไอ้ตำรวจคนดีของมึงดูเองสิ!” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและค่อนข้างจะถากถาง ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านของอัคราในทันที
“เห๊ย!!! เดี๋ยวสิวะไอ้ปัฐ”
เมื่อพ่อเลี้ยงปัฐทวีกลับถึงบ้าน เขาก็พบว่าทัศกำลังนวดขาให้กับแม่ของตน ไม่รู้ว่าทำไม... ยิ่งพอเห็นหน้าของทัศก็ยิ่งทำให้ในใจของเขานั้นร้อนรนราวกับถูกไฟเผา
“ไปไหนมา แล้วหน้าไปโดนอะไรมาทำไมมีเลือดออกแบบนั้น” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกชายของเธอด้วยความเป็นห่วง
“ผมแค่เจอหมามันขวางทางเลยพลาดท่าสะดุดล้ม”
ทัศมองไปที่ปัฐทวีด้วยความสงสัยแต่มันก็แค่แวบเดียวก่อนที่เขาจะหันไปโฟกัสกับขาของนายแม่คำจันทร์ต่อโดยไม่พูดหรือทักทายอะไรอีกฝ่าย
“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวนะ” ว่าแล้วปัฐทวีก็เดินออกไปยังศาลานั่งเล่นทันที โดยทัศยังคงมองตามไปจนกว่าร่างนั้นจะหายลับไปจากสายตา
หญิงวัยห้าสิบแปดปีมองลูกชายสลับกับทัศก่อนจะส่ายหัวไปมาเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม แม้ทัศจะไม่พูดออกมาเธอก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยในสายตาของทัศ
“ทัศ...”
“ครับคุณแม่?”
“ช่วยทำอะไรให้แม่อย่างหนึ่งได้ไหม?”
“ได้ครับ คุณแม่ว่ามาได้เลย” ทัศตอบตกลงทันทีด้วยท่าทางที่พร้อมจะรับฟังและยินดีเสมอเมื่อนายแม่จะร้องขออะไร
“ช่วยไปทำแผลให้ลูกชายแม่หน่อย”
เขาเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำขอนั้น “คือ...ผมว่าผม...”
“นะจ๊ะ ถือว่าแม่ขอ”
ทัศหลับตาพลูลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบออกไปอย่างจำใจ “ก็ได้ครับ...”
ทัศเดินถือกระเป๋าเข้าไปหาปัฐทวีที่นั่งอยู่ในศาลาตามคำขอร้องของแม่นายคำจันทร์ ก่อนที่เขาจะวางกระเป๋านั่นลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัฐทวีที่นั่งอยู่ตรงข้ามสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองทัศด้วยสายตาที่แปลกใจ
“นายมาทำอะไร?”
“มาทำแผลให้คุณ”
“ไม่ต้อง! แผลแค่นี้มันไม่ตายหรอก แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้อยากเห็นนายมาประจบสอพลอฉันให้มันรำคาญลูกกระตา” ปัฐทวีว่าพลางเบนสายตาไปทางอื่นด้วยความไม่สบอารมณ์
“ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ และไม่ใช่เพราะแม่ของคุณผมก็ไม่มีวันทำแบบนี้หรอก”
“งั้นก็ไม่ต้องทำ เอาเวลาไปเลียแข้งเลียขาแม่ฉันเถอะ”
ทัศถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เขากลอกตาขึ้นมองก่อนจะเปิดกระเป๋ายาใบใหญ่ออกอย่างรวดเร็ว มือเรียวยกขึ้นไปจับคางให้หันมาอย่างบังคับ “อยู่นิ่ง ๆ แล้วผมจะได้รีบทำ คุณจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าผมนาน”
เมื่อเห็นว่าพื้นผิวของโหนกแก้มของปัฐทวีเป็นรอยบวมแดงและมีเลือด ทัศถอนหายใจเบา ๆ ออกมาอีกครั้งก่อนจะหยิบขวดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเปิดฝา แล้วชุบสำลีให้ชุ่มเช็ดวนรอบแผลเพื่อทำความสะอาด
“ซี๊ดดดด โอ๊ยเบา ๆ ”
“เป็นผู้ชายตัวโตซะเปล่า” ทัศหัวเราะออกมาให้กับท่าทางของปัฐทวี เขาหันไปชุบยาแดงในขวดแล้วทาให้ทั่วแผลที่บวมเป่ง ก่อนที่เขาจะนึกสนุกในใจแล้วใช้ปลายสำลีกดไปที่แผล
“โอ๊ย!!!”
ปัฐทวีร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บ เขาทำท่าจะดึงตัวหนี แต่ทัศกลับยังคงจับคางไว้แน่น “อยู่นิ่ง ๆ สิครับพ่อเลี้ยง”
“นี่นายแกล้งฉันเหรอ!!!”
“โถ...เพิ่งรู้นะครับว่าคนอย่างพ่อเลี้ยงปัฐทวีหน้าโหดจะร้องเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก”
ปัฐทวีจ้องเขม็งไปยังคนที่ยืนทำแผลให้กับตนด้วยความโมโห ก่อนออกแรงดึงร่างสูงให้ลงมานั่งบนตักของตน จนกระทั่งใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบจะชนกัน
“ปล่อยผมนะคุณปัฐ! คุณจะทำอะไร?”
“ก็กำลังทำหน้าที่ของฉันอยู่ยังไงล่ะ”