bc

หฤทัยพันธน์ (ภรรยาจำยอม)

book_age12+
351
FOLLOW
1K
READ
family
HE
drama
lies
like
intro-logo
Blurb

เพราะรักเธอจึงยอมทน เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งหัวใจที่เขาเก็บใครอีกคนเอาไว้อยู่เต็มหัวใจ

+++++

“แล้วเมื่อไหร่…เมื่อไหร่ถึงจะยอม…เป็นของพี่”

“เอ่อ…”

หญิงสาวหลุบตาหนี เมื่อเขามองด้วยแววตาจริงจัง และยังจู่โจมกันชนิด

ไม่ทันได้คิดถ้อยคำบ่ายเบี่ยง ส่วนเขาเงียบนิ่งฟังว่าคนหวงตัวจะอ้างอะไรออกมาอีก เมื่อจะให้บอกรักเขาก็ทำไปแล้ว เผยใจออกมาก็ทำแล้ว

แต่เธอก็ยังจะต่อต้านอยู่ร่ำไป

“ถ้าทุกวันนี้ไม่เรียกว่ารัก แล้วจะเรียกว่าอะไร ในเมื่อรักกันแล้ว

น้องเพื่อนจะหวงไว้ให้ใคร”

“……....”

“หรือจะเก็บไว้ให้ตำรวจแถวๆ นี้”

“มะ ไม่ใช่นะคะ เพื่อนไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ”

หญิงสาวรีบร้องบอก เพียงแค่กลัวเขาจะเข้าใจผิดไป ด้านเขานั้นรุกหนัก ยิ่งยามร่างในอ้อมกอดสั่นราวลูกนก เขายิ่งชอบใจที่จะต้อนให้จนมุม

“แล้วบอกพี่มาสิ ว่าจะเก็บไว้ให้ใคร”

“ก็…เก็บ…เก็บไว้ให้พี่ปราบต์ แต่วันนี้…เพื่อน…ยังไม่พร้อม…”

“ไม่พร้อม แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพร้อมเสียที จะให้พี่รอไปถึงไหน

คนรอใจจะขาดอยู่แล้ว”

“ไม่…ไม่รู้ค่ะ”

พิมพ์ณาราใจเต้นแรงเมื่อเขาออกแรงกอดรัดมากขึ้น มันแนบชิดเสียจนใบหน้าเธอแนบอยู่กับอกแกร่ง สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อที่เต้นเร่าอยู่ข้างใน

มันเต้นแรงไม่ต่างไปจากเธอ ความรู้สึกยามนี้เหมือนตัวลีบลงไปเรื่อยๆ อยากที่จะหายตัวไปจากตรงนี้ยิ่งนัก

“พี่คงรอต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าขืนรอต่อไปคงถูกมือดีมาช่วงชิงไปก่อนแน่นอน”

เขาหมายถึงสารวัตรแทนไท ไม่มีผู้ชายคนไหนเดินเข้าหาผู้หญิงโดยไม่หวังผล ความหวงแหนทำให้ชายหนุ่มบอกตัวเองว่า ยังไงเสียคืนนี้เขาต้องได้เธอ

“พี่ปราบต์ ยะ…อย่าทำให้เพื่อนกลัว”

chap-preview
Free preview
ตอนที่ 1 บทนำ
ตอนที่ 1 บทนำ              “นายหญิง นายหัวให้มาตามหล๊อบบ้าน สักกะเดี๋ยวต่าสูจะข้องใจ หล๊อบบ้านแขบๆ”[1]            สำเนียงเสียงใต้ดังมาก่อนตัว พิมพ์ณาราหันไปทางเจ้าของเสียงโหวกเหวกอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ก็เห็นคนงานสวนปาล์มกำลังเดินตรงมาทางตน ถ้อยคำบางคำเธอยังไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามที่จะเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ให้ได้ และเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นความงุนงงเคลือบฉาบอยู่ในแววตาคู่สวย เสียงหัวเราะชอบใจจึงตามมาพร้อมๆ กับการโชว์ฟันขาวที่ตัดกับสีผิวของเจ้าตัวอย่างชัดเจน            “หือ? ข้องใจ นายหัวเขาข้องใจอะไรอีกเหรอพี่บ่าว” “อ่อ เอ้อ พี่บ่าวหมายถึง…หมายถึงนายหัวจะเป็นห่วงเอาน่ะ ข้องใจก็คือเป็นห่วง พี่บ่าวชอบลืมตัวอยู่เรื่อย”            อีกฝ่ายขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เพราะลืมนึกไปว่านายหญิงของตนเพิ่งมาอยู่ที่นี่ไม่นาน ก็เลยยังไม่เข้าใจภาษาถิ่นในบางคำ            “เขาน่ะเหรอ ที่จะเป็นห่วงคนอย่างเรา รำคาญสิไม่ว่า”            หญิงสาวตัดพ้อกับตัวเองเบาๆ เพราะมีเธอกับปฐพีที่รู้ดีว่าภาพครอบครัวอบอุ่นที่คนงานเห็นมันคือภาพลวงตาแทบทั้งสิ้น    และเขาก็ไม่อาจปิดเธอได้เช่นกัน ว่าชวนมาอยู่ที่นี่นั้นเพราะอะไร เขาแค่ต้องการหลบมาพักใจ โดยเอาสวนปาล์มมาเป็นข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น            วันนี้เธอรู้สึกเบื่อเพราะต้องอยู่คนเดียว เลยขับรถมานั่งเล่นที่สวนปาล์ม ซึ่งเวลานี้เติบโตจนตัดทลายขายส่งโรงกลั่นได้แล้ว บนเนื้อที่เกือบห้าร้อยไร่นั้นกว้างใหญ่เกินจะดูแลไหว ปฐพีจึงจ้างคนงานให้มาดูแลแทนตน และคนงานส่วนใหญ่ก็คือชาวบ้านในแถบนี้ กับคนงานพม่าที่ข้ามฝั่งมาหางานทำ           ‘ถ้าให้เดา คงจะหาเรื่องเราอีกแน่ๆ’ พิมพ์ณาราคิดขณะดับเครื่องยนต์ ยังไม่ทันไรคนที่ใจกำลังนึกถึงก็เดินตรงรี่เข้ามา จากนั้นก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด            “น้องเพื่อนคงลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ จะไปไหนมาไหนคนเดียวก็ให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง อย่าทำตัวเหมือนคนโสดที่นึกจะไปไหนก็ไป โดยไม่คิดจะเกรงใจใคร”                        ท่าทีเขาฉุนเฉียว ประหนึ่งไปกินรังแตนที่ไหนมา “เพื่อนไม่ได้ไปไหนไกลนะคะ แค่ไปนั่งเล่นที่สวนปาล์มมา”            “ก็นั่นล่ะ เพราะคนงานบางคนไว้ใจได้เสียที่ไหน”            “คนงานก็ลูกน้องพี่ปราบต์ทั้งนั้น ถ้าไม่ไว้ใจจะจ้างมาทำไม”            “ถ้าถูกคนงานมันฉุดไปปล้ำแล้วฆ่าทิ้งหมกสวนเอาไว้ พี่ก็จะปล่อยไว้แบบนั้นนั่นแหละ เถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้”            สายตาคู่คมจับจ้องดวงหน้าหวานไปพร้อมกัน ที่ยามนี้แลดูหยิ่งจองหองเสียเหลือเกิน เขากำลังคิดว่านับวันพิมพ์ณาราเริ่มจะแข็งข้อกับเขามากขึ้น เธอคงรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ทอดทิ้งเธอไปไม่ได้ แม้จะรักหรือไม่ก็ตาม “ถ้าตายก็ดีสิคะ พี่ปราบต์จะได้หมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องมาแบกรับอะไรอีกต่อไป” หญิงสาวรื้อฟื้นเรื่องราวที่เป็นปมในใจขึ้นมา ส่งผลให้ปฐพียอมที่จะเป็นฝ่ายเงียบแล้วเดินหนีเข้าบ้านไป  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลยสักนิด  เธอแค่ต้องการให้เขาเห็นใจและสงสาร  เดินเข้ามากอดและปลอบประโลม   อยากให้เขาเอ่ยออกมาว่าสักวันเขาจะรักเธอเหมือนที่ยามนี้ฝังใจรักอยู่กับอีกคน…คนที่มีเธอเป็นดังเงา เธอไม่ยอมตามปฐพีเข้าไปในบ้าน แม้จะรู้ดีว่าเกือบได้เวลาทานมื้อเย็นแล้ว กลับเลือกที่จะเดินไปนั่งบนชิงช้าสีขาว ที่ผูกไว้ใต้ต้นก้ามปูโบราณอายุไม่ใช่น้อยๆ ขยายกิ่งก้านเผื่อแผ่ร่มเงาไปไกล จริงๆ แล้วมันคือที่สิงสถิตประจำของเธอ เวลาเบื่อๆ ก็หยิบหนังสือเล่มโปรดสักเล่มไปนั่งอ่าน เท่านี้เธอก็จมอยู่กับโลกส่วนตัวได้นานครึ่งค่อนวันหากไม่มีใครมารบกวน            “เวลาโพล้เพล้แบบนี้เขาไม่ให้มานั่งใต้ต้นไม้  ทำไมถึงไม่ยอมเข้าบ้านเสียทีฮึ!”            น้ำเสียงขุ่นมัวที่ดังอยู่ด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเขาเดินย้อนกลับมาตามแน่นอน            “ก็กำลังจะเข้าไปนี่ไงคะ พี่ปราบต์ออกมาก่อนเอง”            “ขี้หก”[2]  เขาแสร้งเลียนสำเนียงใต้ ขณะคนฟังตวัดสายตามอง เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่ขำด้วย ฟังไม่ออกไม่รู้ภาษาใต้เพราะเธอไม่ใช่เขาที่เทียวไปเทียวมาเสียจนฟังรู้เรื่องและพูดได้            “ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ ไม่เหมือนพี่ปราบต์ที่มาบ่อยจนพูดได้”            “สงสัยชิงช้าเจ้าปัญหาตัวนี้คงต้องตัดเชือกแล้วเอาไปทิ้ง จะได้ไม่ต้องมีคนมาใช้”            เขาเปลี่ยนไปหาเรื่องชิงช้าแทนคนตรงหน้า ไม่พูดเปล่า มีดที่อยู่ในมือทำท่าตวัดไปที่เชือก  เพื่อที่จะตัดให้มันขาดออกจากกัน ท่ามกลาง ความตกตะลึงของพิมพ์ณารา เพราะไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ “อย่านะคะ พี่ปราบต์ทำอะไร!” ร้องห้ามพลางลุกพรวดขึ้น เพราะถ้าเชือกขาดมีหวังเธอต้องหล่นลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นแน่นอน            “พี่จะตัดมันทิ้ง และถ้าใครเอามาผูกอีกก็จะโค่นต้นไม้ทิ้งไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”            ด้วยความกลัวว่าเขาจะเกิดลูกบ้าทำขึ้นมาจริงๆ และขี้เกียจจะเถียงด้วย หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายยอมให้ก่อน หากเขาให้คนงานมารื้อชิงช้าไปทิ้งตามที่ขู่เอาไว้ เธออดที่จะเสียดายไม่ได้ และที่สำคัญจะไม่มีที่ไว้นั่งรับลมอ่านหนังสืออีกด้วย            “ไปสิคะ จะเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ พี่ปราบต์เดินนำไปสิคะ”            ปฐพีเหลือบตามองคนตรงหน้า ขณะที่ความมืดก็เริ่มโรยตัวเข้ามาทุกที การที่เธอบอกว่าจะเข้าบ้านแต่ยังคงยืนเฉย ทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคร้าม ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้            “วันก่อนหม่องซามันตื่นมาตอนตีสี่เพื่อพาแม่ครัวไปตลาด…พอเดินผ่านมาทางนี้มันเห็นอะไรไม่รู้…แต่หลังจากนั้นหมอนั่นก็จับไข้หัวโกร๋นไปหลายวัน”            คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อคนที่เขาพูดถึงคือคนงานพม่าวัยละอ่อน พลางเอียงหน้ามองอีกฝ่ายว่าเขากำลังจะบอกอะไร            “ตรงนั้นน่ะ นั่นแหละ”            หญิงสาวแหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดก้ามปูสูงตระหง่าน ตรงจุด ที่เขาชี้มือขึ้นไปบนนั้น แววตายาวรีเริ่มฉายแววตื่นตระหนก เพราะเขาทำหน้าจริงจังจนยากจะคาดเดาว่าล้อเล่นหรือพูดจริง            “อะ อะไรคะ บนนั้นทำไม!”            “คนงานพม่าด้วยกันบอกว่าหม่องซามันเจอ…เจอ…นั่น! นั่นไง มันห้อยหัวอยู่ตรงนั้น!”            “กรี๊ดดดด!”            “น้องเพื่อน ตรงนั้น อะไรอยู่บนนั้น!”            “กรี๊ดดดด! ตรงไหน”            เสียงร้องมาพร้อมกับร่างบางที่พุ่งพรวดเข้าไปกอดชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้อย่างลืมตัว การที่เขาทำสีหน้าตื่นตกใจ และตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวไม่แพ้กัน ทำให้หญิงสาวซุกหน้าเอาไว้กับแผงอกกว้าง ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองว่าบนต้นไม้มันมีอะไรอย่างที่เขาบอกหรือไม่            ปฐพีชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงกายสาวที่สั่นสะท้าน และอ้อมแขนที่กอดรัดกายแกร่งเอาไว้จนแน่น บ่งบอกว่าเธอตื่นกลัวจริงๆ จนเขาอดที่จะสงสารอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ฝ่ามือแกร่งทาบลงไปบนศีรษะเล็กคล้ายจะปลอบประโลม แต่แล้วกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาก็ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังไล้ไปตามเส้นผมอ่อนนุ่ม นึกแปลกใจตัวเองว่าหัวใจเป็นอะไร จึงได้หวั่นไหวแปลกๆ เช่นนี้            “นายหัว ไอ้ไหรครับ ใครเป็นไหร เสียงนายหัวฉาวไปเหม็ด”[3]            เสียงโหวกเหวกมาก่อนตัวเพราะความเป็นห่วงเจ้านาย คนก่อเหตุหันไปมองก็เห็นลูกน้องคนสนิทกำลังวิ่งหน้าตาตื่นมาทางตน            “อะ อ้าว อุ่ย…”            คนงานเหยียบเบรกเท้าจนหน้าแทบคะมำ เมื่อเขาไม่เห็นใครเป็นอะไรนอกจากคนยืนกอดกันกลมต่อหน้าต่อตา            “อุ๊ย! พี่หลวง”            พิมพ์ณารารีบยันกายออกห่างชายหนุ่มตรงหน้า พวงแก้มสาวแดงซ่านราวผลมะเขือเทศสุก เมื่อคนงานได้มาเห็นภาพเมื่อสักครู่เต็มสองตา เธอยังเห็นรอยยิ้มที่ฉายออกมาจากแววตาคนมองอีกด้วย เพราะใครที่ไม่รู้เบื้องลึกหากได้มาเห็นก็ต้องคิดว่าสองหนุ่มสาวหยอกกันเล่นตามประสาผัวเมียทั่วไป            “นายหญิงเป็นไหร”            คนถามคงรู้แล้วว่าไม่มีใครเป็นอะไร แต่แค่อยากหยอกเล่นไปอย่างนั้นเอง แต่แล้วสายตาคู่คมที่ปรายมองมายังตน ก็บ่งบอกให้รู้ว่าควรที่จะไปจากตรงนี้ได้แล้ว            “มายืนกอดกันตอนหวันมุ้งมิ้ง[4]แบบนี้ ระวังนะครับ บรื๋อ”            “ถ้าฉันเป็นนายฉันจะรีบไสหัวกลับไปไม่มายืนหัวโด่อยู่อย่างนี้แน่…ไปสิ ยังจะยืนเฉย นายหญิงของนายเขาสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร”            “คนมันหวังเหวิด[5]ไม่เป็นไหรก็ดีแล้ว”            “ไม่ต้องมาหวังเหวิดฉัน เพราะฉันมีคนคอยหวังเหวิดอยู่แล้ว”            ชายหนุ่มแสร้งเลียนสำเนียงลูกน้อง ช่วงเวลาที่เทียวไปเทียวมาสวนปาล์มหลายปี ทำให้เขาพอฟังภาษาใต้บางคำรู้เรื่อง และพอรู้ความหมายของคำพูดพื้นๆ อยู่บ้าง นอกจากภาษาใต้แล้ว เขายังคุยกับคนงานพม่ารู้เรื่องอีกด้วย เพราะคนงานที่สวนก็มีพม่ามาทำงานอยู่หลายคน จนพักหลังๆ ชายหนุ่มชักสงสัยตัวเองว่าสรุปเขาเป็นคนสัญชาติอะไรกันแน่ เพราะเล่นฟังภาษาต่างชาติได้รู้เรื่องเป็นอย่างดี            “ผมไม่ได้หวังเหวิดนายหัว แต่ผมหวังเหวิดนายหญิง”            “อ๋อ ที่วิ่งขาขวิดมาจนหน้าแทบคะมำ ที่แท้ก็มาดูเมียฉันนี่เอง นี่นายคิดอะไรกับเมียฉันหรือเปล่า ดูเป็นห่วงเป็นใยจนออกนอกหน้า” “ใครจะไปกล้ากับนายหัวกันล่ะครับ นายหญิงกับนายหัวก็เหมือนคนๆ เดียวกัน มีความสำคัญเท่าๆ กัน หวังเหวิดเจ้านายตัวเองมันผิดม้าย”            “จะไปไหนก็ไป ฉันจะเข้าบ้านไปกินข้าวแล้ว”            “ครับๆ ไปก็ได้ครับ”  คนงานเดินอมยิ้มกลับไปยังทางเดิมที่วิ่งมา หลังจากลับร่างนั้น แววตาเขียวปั้ดก็ถูกส่งไปให้ปฐพีทันที “คนบ้า เล่นอะไรก็ไม่รู้ ตกใจหมด” กำปั้นเล็กทุบพลั่กไปที่แผงอกกว้าง เพราะยังขุ่นเคืองที่เขาทำ ให้เธอแทบช็อก กลัวจนเกือบหัวใจวายตายกันไปข้างหนึ่ง            “พี่พูดเรื่องจริง หม่องซามันเจอจริงๆ ห้อยหัวโตงเตงอยู่บนนู้น เอ…กิ่งไหนนะ หรือว่ากิ่งนั้น”            “ยังจะ…” “ก็น้องเพื่อนไม่ยอมเข้าบ้าน นั่นก็แสดงว่าไม่ได้กลัวจริงๆ ใช่มั้ย ถ้ากลัวจะมานั่งคนเดียวนอกบ้านทำไม”            “ถ้าเจอกับตัวเองจริงๆ แล้วคนบางคนวิ่งหนี เพื่อนจะหัวเราะให้ฟันหลุด ถ้าจับไข้หัวโกร๋นคงจะตลกดีพิลึก ทำเป็นพูดไปเถอะ”            หญิงสาวภาวนาให้เขาเจอบ้าง เพราะหมั่นไส้ที่แกล้งให้เธอตกใจจนเชื่อว่าหม่องซาเจอผีจริงๆ            “ไปดีกว่า ใครจะยืนอยู่ตรงนี้ก็ตามใจ” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าหวาดหวั่น พลางเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านโดยไม่รออีกฝ่าย คล้ายต้องการที่จะแกล้งกัน            ขณะพิมพ์ณาราละล้าละลัง ครั้นจะวิ่งตามเขาไปก็เหมือนเสียเชิง ดวงตากลมโตกลอกไปมาขณะเหลียวมองไปโดยรอบ ความมืดที่เริ่มโรยตัวมาห่มคลุมแลเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ของบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่แลดูคล้ายเงาคน ทำให้จินตนาการหญิงสาวเตลิดไปไกล            “พี่ปราบต์ เดี๋ยว รอเพื่อนด้วย” [1]หล๊อบบ้าน (กลับบ้าน) ,ข้องใจ (เป็นห่วง กังวล), สู (คำเรียกแทนตัว เช่น เขา เธอ), แขบ (รีบ,เร็วๆ)   [2] ขี้หก (โกหก) [3] ไอ้ไหร,ไหร (อะไร), ฉาว (ดัง), เหม็ด (หมด) [4] หวันมุ้งมิ้ง (ตะวันตกดิน) [5] หวังเหวิด (เป็นห่วง)

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

Relazione เจ้าหัวใจสายใยรัก

read
2.2K
bc

เล่ห์รักนายหัว

read
3.9K
bc

สะใภ้ขัดดอก

read
32.1K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
10.9K
bc

สวาทรักใต้เพลิงแค้น

read
5.4K
bc

ลุ้นรักสลับใจ

read
1K
bc

หวงรักเมียเด็ก

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook