บทนำ
“นักโทษหญิงเบญจา ประดับเงิน”
เสียงตะโกนเรียกดังก้องมาจากหน้าประตูลูกกรง ทำให้นักโทษหญิงภายในเรือนจำแห่งนั้นต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงขานตอบเบา ๆ ดังมาจากด้านในสุดของห้อง
“ค่ะ”
หญิงวัยกลางคนผู้มีเรือนร่างผอมเกร็ง แต่งกายด้วยเสื้อสีฟ้าอ่อนและผ้าถุงสีน้ำเงินเข้ม ค่อย ๆ เดินแหวกจากกลุ่มคนออกมา ใบหน้าดูอิดโรย แก้มตอบซีดเซียวปราศจากเครื่องสำอาง หากก็ยังดูดีตามธรรมชาติ
“ตามมา” ผู้คุมบอกห้วน สั้น ก่อนนำตัวอีกฝ่ายออกมาพร้อมกับเดินนำหน้าไป
“วันนี้จะมีคนจากข้างนอกมาสัมภาษณ์เธอนะ”
“สัมภาษณ์หรือคะ” ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับปลงในชะตานั้นฉายรอยความเคร่งเครียดขึ้นมา
“ไม่ใช่พวกนักข่าวหรอก เห็นว่าเขาเป็นนักเขียน อย่างมากเธอก็ตอบตามความจริงที่เขาถามก็แค่นั้นเอง เข้าใจไหม”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย พลางเดินตามหลังไปอย่างสงบ
เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่เบญจามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ร้อยวันพันปีถึงจะมีญาติเข้ามาเยี่ยมเธอบ้างสักครั้ง แต่วันนี้ไม่ใช่วันเยี่ยมญาติ ทว่าจู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาขอสัมภาษณ์
‘ใครกันนะที่อยากสัมภาษณ์นักโทษอย่างฉัน’
หญิงสาวครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ
ภายในห้องสี่เหลี่ยมสำหรับรอเยี่ยม ผู้คุมใส่กุญแจมือให้เธอก่อนจะเปิดประตูพาเข้าไปในห้อง เบญจาจึงได้เห็นหญิงสาวในวัยประมาณยี่สิบปลาย ๆ นั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน โดยมีอุปกรณ์กล้องถ่ายวิดีโอติดตั้งอยู่ภายในนั้น
ขวัญฤดีเป็นนักเขียนบทความสารคดีในวัย 27 ปี เธอทำงานในบริษัททำหนังและสารคดีที่ป้อนผลงานขายให้กับต่างประเทศเป็นหลัก ล่าสุดเธอได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เขียนบทสารคดีเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และการนัดสัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลก่อนที่เธอจะลงมือเขียนบทในขั้นตอนต่อไป
สารคดีครั้งนี้ได้คัดเลือกจาก 5 คดีฆาตกรรมที่โด่งดังในอดีต และคดีของเบญจาก็เป็น 1 ใน 5 คดีนั้น ครั้งนี้เธอจึงลงพื้นที่เพื่อมาเก็บข้อมูล โดยมีฐากูร หรือ พี่ฐา ในวัย 35 ปี มาช่วยบันทึกวิดีโอครั้งนี้ด้วย
เบญจาชะงักฝีเท้าไปอึดใจ เธอไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่าจะต้องมาเจอการบันทึกวิดีโอแบบนี้ จึงมองอุปกรณ์เหล่านั้นด้วยความไม่ชอบใจนัก
“สวัสดีค่ะคุณขวัญ คนนี้คือเบญจา ประดับเงินค่ะ” ผู้คุมแนะนำพลางทำมือให้หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ ๆ
“สวัสดีค่ะคุณเบญจา ดิฉันชื่อขวัญฤดี หรือจะเรียกว่าขวัญเฉย ๆ ก็ได้ ส่วนพี่ผู้ชายชื่อฐากูร มาถ่ายวิดีโอให้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะคะคุณขวัญ มีอะไรเรียกได้ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นค่ะ” ผู้คุมชี้มือไปที่โต๊ะริมสุดติดประตูทางเข้า
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
หลังจากผู้คุมเดินไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ขวัญฤดีก็หันมาทางเบญจาพร้อมกับเชิญให้เธอนั่งเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ ก่อนหน้านี้ขวัญฤดีได้ทำการบ้านอ่านข่าวในคดีของเบญจามาก่อนแล้ว เธอคิดว่าฆาตกรที่เธอจะต้องมาเจอนั้น จะต้องมีใบหน้าโหดเหี้ยมจนน่าหวาดกลัว แต่การที่เบญจานั่งอยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้ช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอคิดโดยสิ้นเชิง ยิ่งดูเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เหมือนฆาตกรโหดเหี้ยมที่จะไปฆ่าใครตายได้เลย
“จำเป็นต้องถ่ายวิดีโอกันด้วยหรือคะ ไม่ถ่ายได้ไหม”
เบญจาถามขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายชะงักไป ก่อนมองกลับมาด้วยความเข้าใจ
“คุณเบญจาไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนที่เราเผยแพร่เรื่องของคุณออกไปไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหน ทางเราจะเบลอหน้าของคุณเบญจาให้เรียบร้อยค่ะ ผู้ชมจะไม่เห็นหน้าคุณเบญจา เพราะทางเราค่อนข้างซีเรียสในเรื่องความเป็นส่วนตัวค่ะ”
“อีกอย่างกล้องของเราถ่ายจากมุมด้านหลังและด้านข้าง รับรองว่าเห็นหน้าไม่ชัดแน่นอน คุณเบญจาสบายใจได้นะครับ” ฐากูรช่วยยืนยันอีกแรง
“เผยแพร่เหรอคะ หมายความว่ายังไงกัน แล้วเผยแพร่ที่ไหนบ้าง”
“ขอโทษทีค่ะ คือขวัญเป็นนักเขียนบทสารคดีค่ะ เลยมาขอสัมภาษณ์และถ่ายวิดีโอเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับนำไปเผยแพร่ลงในช่องสารคดีของต่างประเทศค่ะ และก่อนหน้านี้ทางเราได้ทำหนังสือขออนุญาตเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ขวัญฤดียื่นสำเนาเอกสารที่ว่าให้นักโทษหญิงตรงหน้าดู เป็นครั้งแรกที่เบญจาเห็นเอกสารนี้ที่ระบุชื่อเธอในการให้สัมภาษณ์ ชั่วขณะหนึ่งที่เธอกวาดสายตาอ่านเอกสารนั้นอย่างละเอียดก่อนเงยหน้าขึ้น
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย ที่นี่มีนักโทษอีกตั้งมากมาย” หญิงมากวัยกว่าตั้งคำถาม
“ฉันไม่คิดว่าเรื่องราวของฉันจะน่าสนใจ หรือเอาไปทำสารคดีให้คนดูได้”
“ไม่หรอกค่ะคุณเบญจา เรื่องของคุณเมื่อปีที่แล้วเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ เราเลยเห็นว่าน่าสนใจ และมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์กับสังคมได้ จึงเลือกเรื่องของคุณมาทำสารคดีในครั้งนี้ค่ะ”
ชั่วขณะหนึ่งที่ขวัญฤดีเห็นแววตานั้นฉายแววเศร้าลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา
“ข่าวดังไปทั่วประเทศอย่างนั้นหรือคะ แล้วคนส่วนใหญ่รู้จักฉันในแบบไหนกัน ผู้หญิงโหดเหี้ยมที่ฆ่าสามีตัวเองตาย หรือว่าแม่มดใจร้ายตามที่เด็ก ๆ เรียกกันคะ”
คำถามนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปด้วยคาดไม่ถึง แต่ยังไม่ทันที่ขวัญฤดีจะตอบ อีกฝ่ายก็จ้องมองมาที่เธอนิ่ง ๆ แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบกายยิ่งตึงเครียดขึ้น
“แล้วคุณเชื่อตามข่าวหรือเปล่าล่ะคะ”
ขวัญฤดีนิ่งอึ้งไปกับคำถามนั้น จนพูดไม่ออก
“หากคุณเชื่อตามข่าวพวกนั้น ก็กลับไปเสียเถอะ อย่ามาเสียเวลากับนักโทษอย่างฉันเลย หรือถ้ายังอยากรู้เรื่องไหน คุณไปหาข่าวเก่า ๆ พวกนั้นมาดูเองก็แล้วกัน” พอเอ่ยจบ ร่างผอมเกร็งก็ผุดลุกขึ้นทำท่าจะกลับไปเสียดื้อ ๆ ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบร้องห้าม
“เดี๋ยวก่อนสิคะคุณเบญจา อย่าเพิ่งไป”
คนถูกเรียกชะงักเท้า แต่ไม่ได้หันมา
“ถ้าฉันเชื่อตามข่าว ก็คงไม่มาหาคุณด้วยตัวเองที่นี่ ฉันอยากฟังความจริงจากปากของคุณ ความจริงที่คุณไม่เคยได้เล่าที่ไหนมาก่อน...”
คำพูดนั้นมีผลทำให้สตรีที่สวมชุดนักโทษสีฟ้าหันกลับมาสบตาคนพูดนิ่ง
“หากคุณรับปากว่า สิ่งที่ฉันเล่าออกไปจะถูกถ่ายทอดโดยไม่มีดัดแปลงหรือใส่สีตีไข่ให้มันเกินจริงมากกว่านี้” เบญจายื่นเงื่อนไข
“ค่ะ ฉันรับปากคุณ” คำตอบนั้นทำให้หญิงมากวัยกว่าสงบลง และยอมกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
เงื่อนไขของเบญจานั้นทำให้นักเขียนสารคดีสาวรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็พอจะรู้ว่าอานุภาพของสื่อมวลชนในสมัยนี้ที่ต้องการช่วงชิงความสนใจและเรตติงของผู้ชมจนบางทีก็มีการเสริมแต่งให้ข่าวมีสีสันมากขึ้นจนบิดเบี้ยวเกินจริง
หญิงผู้นี้ก็คงเป็นอีกคนที่ผ่านการเป็นเหยื่อของนักข่าวที่ไร้จรรยาบรรณพวกนั้นสินะ จึงได้ระแวงว่าเธอจะทำสิ่งเดียวกัน หรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนั้น ยังมีความจริงใดที่ยังไม่ถูกนำเสนออีก ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ขวัญฤดีรู้สึกตื่นเต้นกระหายใคร่รู้ความจริงจากปากของผู้ก่อเหตุมากขึ้นกว่าเดิม
“งั้นเรามาเริ่มจากคำถามแรกกันเลยนะคะ”
เบญจานิ่งฟังคำถามจากปากของอีกฝ่าย พลางนึกย้อนไปถึงวันวานในกล่องความทรงจำที่ถูกปิดตายขึ้นมาอีกครั้ง ในวันที่เธอเคยเป็นอดีตข้าราชการครูสอนระดับประถมวัย ก่อนจะจบอนาคตตัวเองมาอยู่ในเรือนจำเมื่อสามปีที่แล้วในวัยสี่สิบเอ็ดปี ใครเลยจะไปคิดว่าครูเบญจาที่แสนดีเป็นที่รักใคร่ของทุกคนจะมาลงเอยด้วยการเป็นนักโทษฆ่าคนตายที่เรือนจำเช่นนี้
แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปจนคนลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากพูดถึงคดีดังในอดีตที่สะเทือนขวัญของยุคนั้นก็คงจะมีคดีของเบญจารวมอยู่ด้วยแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับว่า คนจะมองจากมุมไหน