อีกทั้ง..
..คล้ายว่าเจ้าสาม ดูให้ความสนใจหญิงสาวนางนั้นมากกว่าพวกเขาเสียอีก
หมิงซานกล่าวเสียงเรียบ " แต่ท่านก็พานางออกมาไม่ได้ เช่นนี้..จะโทษข้าผู้เดียวได้หรือขอรับพี่ใหญ่ "
" แล้วนางทำอันใดกับเขตแดนของเรา "
" ..พี่รอง ถ้านางเก่งถึงเพียงนั้นคงหนีออกไปจากที่นี่นานแล้ว ท่านไม่เห็นสายตาของนางหรือ คิดว่าพวกท่านหล่อเหลาดีเลิศ จนต้องมารยาแกล้งทำทีอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อใกล้ชิดพวกท่าน "
" นั่นเป็นเพราะเจ้าพานางเข้ามาตั้งแต่ต้น " หย่งเล่อกล่าวสวนกลับทันที
นั่นเพราะเขาเข้าใจแล้วว่าการมีหญิงสาวใกล้ตัวไม่เป็นผลดี ถึงแม้เหตุการณ์ในสำนัก มีส่วนทำให้เขาต้องตัดสินใจพาหญิงสาวแปลกหน้าออกจากเขตนี้ไป
เขาเกรงว่านางจะเป็นคนของพวกไม่หวังดี ต้องการแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสาม
หมิงซานสารภาพ..
" ข้าชอบนาง "
หย่งเล่อ " ... "
ทั้งคู่ต่างก็มองเขาด้วยท่าทีคล้ายไม่เชื่อหูตนเอง สิ้นสุดที่คำกล่าวสารภาพง่าย ๆ เช่นนั้น เจ้าตัวจึงผุดลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไปเงียบ ๆ
" อาเยวี่ยน.. เหตุใดข้ารู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ "
" ท่านเพียงหวงน้องชายเท่านั้น " ชายหนุ่มกล่าวสรุปให้ง่าย ๆ นั่นเพราะมีไม่บ่อยที่น้องชายผู้อ่อนโยนของพวกเขาจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว
แม้นเป็นคำกล่าวไม่ได้แสดงถึงอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่นี่เป็นการแสดงเจตนาอันชัดเจน
" ถ้าข้าทำให้น้องเล็กเห็นธาตุแท้ของหญิงผู้นั้น เราจะสามารถได้น้องเล็กคนเดิมกลับมาหรือไม่ "
หมิงเยวี่ยนมองพี่ใหญ่คล้ายไม่อยากเชื่อหูตนเอง " เลิกคิดทำอันใดแผลง ๆ งานท่านในสำนักมันยังมากไม่พออีกหรือ เหตุใดต้องทำให้ตนเองวุ่นวายถึงเพียงนั้น "
" กล่าวปกป้องนาง หรือเจ้าชอบนางอีกคนเช่นนั้นรึ? "
ชายหนุ่มกล่าวตอบทันควัน " เลิกคิดไร้สาระ ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องออกไปทำภารกิจของอาจารย์หรอกหรือ? "
กล่าวจบก็หันหลังงีบหลับไปทั้งแบบนั้น
หย่งเล่อไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากตนเองไม่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับน้องเล็กได้แล้ว ยังต้องไปทำภารกิจยุ่งยากบางอย่างของอาจารย์อีก
เป็นผู้อื่นก็ไม่อาจไว้วางใจได้..
เจ้าขิมรู้สึกกายขึ้นมาเพราะได้กลิ่นบางอย่าง แต่ก็ยังไม่คิดเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง คนที่กำลังนั่งจ้องหญิงสาวที่ตื่นแล้ว แต่แกล้งหลับบนเตียง
ยกยิ้มมุมปากบางเบาแล้วจึงได้สงวนท่าทีให้เป็นปรกติที่สุด
กายสูงเลื่อนไปนั่งขอบเตียง กลิ่นหอมสมุนไพรอันเป็นเอกลักษณ์ละมุนจนจมูกเล็กเผลอสูดเข้าจนเต็มปอด รู้สึกดีจนเผลอหายใจลึกเพราะชื่นชอบอยู่หลายครั้ง
ด้านข้างยวบลงไปนิดหน่อย เพราะท่านหมอเอาตนเองมาใกล้เกินไป พลันมือใหญ่สากหนาแต่ทว่าอุ่น แนบลงมายังหน้าผาก
...เท่านั้นยังไม่พอ
ชายหนุ่มยังแนบฝ่ามือเอาไว้บนแก้มนุ่ม จนร้อนผะผ่าวไปหมด ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น มือใหญ่เลื่อนสัมผัสข้างติ่งหูที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อเพราะความขวยเขิน จนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ไหปลาร้าขาวผ่องนวลเนียน เปลือกตาสีมุกเปิดขึ้นโดยไม่ได้กล่าวอันใด
" ตื่นแล้วรึ "
คนหน้าหนา..
หญิงสาวอดบริพาทในใจไม่ได้ แม้นรู้อยู่เต็มอกว่าชายหนุ่มทั้งสามหื่นแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่านอกจากนางเอกของเรื่องแล้ว ยังมาทำตัวรุ่มร่ามกับตนเช่นนี้อีก
เมื่อรออยู่นานก็ไม่ได้คำตอบจากคนป่วยสาว ท่านหมอจึงได้เดินออกไปจากห้องแล้วกลับมาใหม่พร้อมกับโจ๊กในมือ
แค่เห็นเจ้าขิมถึงกับมองถ้วยโจ๊กในถาดนิ่ง นั่นเพราะตนเองเคยกินรสมือของท่านหมอมารอบหนึ่งแล้วนั่นเอง รู้ซึ้งดีถึงคำกล่าวที่ว่า...กินกันตายเป็นเช่นไร จึงได้หลับตาหนีเขาอีกครา
ถ้าเธอไม่บาดเจ็บ คงมีอาหารที่ดีกว่าข้าวต้มใส่น้ำเฉย ๆ
ด้วยเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ประเดประดังอยู่ การแสดงออกของหญิงสาวจึงดูเอาแต่ใจเป็นอันมาก และสิ่งที่ต้องการที่สุดในตอนนี้
..คืออยากให้ท่านหมอออกไป
เจ้าโรคประหลาดในกาย มันเริ่มแสดงฤทธิ์เดชของมันบ้างแล้ว เพียงถูกชายหนุ่มสัมผัสเบา ๆ ร่างกายยังสามารถอ่อนไหวได้เพียงนี้
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าอาการกำเริบขึ้นมา ตัวเองจะยังคงสติไม่ไปไล่ปล้ำคนอื่นไปทั่วได้ยังไง
" ถ้าเจ้าไม่กินสิ่งใด จะกินยาได้รึ หืม.. "
เมื่อเห็นว่านางยังคงนิ่งเฉย หมิงซานจึงจ้องริมฝีปากสีอ่อนด้วยประกายความคิดบางอย่าง
เจ้าขิมที่แกล้งหลับตานอนหลับพลันต้องสะดุ้ง เพราะท่านหมอหนุ่มล้วงนิ้วชี้เข้ามาในโพรงปากตนเองกะทันหัน
ใบหน้างามดิ้นรน ประกายตาวาววับประหนึ่งเสือสาว
" อื้อ.. "
ความอุ่นนุ่มสัมผัสเต็มนิ้วมือใหญ่ กายสูงก้มลงมาสบกับนัยน์ตากลมที่บัดนี้กำลังแตกตื่น กล่าวดักหญิงสาวเอาไว้อย่างรู้เท่าทัน " ถ้ากัดนิ้วข้า ต่อไปจะไม่ใช่แค่นิ้วแล้วนะ "
เพียงได้ยินคำขู่สองแง่สองง่ามเช่นนั้น เจ้าขิมทั้งโกรธทั้งอาย ไม่รู้แล้วว่าเขากำลังแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่ รู้เพียงตัวเองเหมือนซวนเซคล้ายหลงทิศ หันหนีไปอีกทางเพื่อให้นิ้วใหญ่หลุดออกจากปากตนเอง
หมิงซานปล่อยให้นิ้วตนเองหลุดออกมาจากปากนุ่มโดยง่าย เห็นของเหลวสีใสเคลือบเต็มปลายนิ้วจึงยกมาดูดจดหมด
..ในใจคิดว่า ที่แท้รสชาติของนางก็เป็นเช่นนี้
ลับหลังร่างงามที่หันหนีเขาไปทางหนึ่ง ประกายตาพอใจสายหนึ่งพาดผ่าน แต่เพราะมีหลายอย่างที่ไม่อาจกระทำตนผลีผลาม จึงได้ยกหัวของนางขึ้นมาแล้วใช้หมอนพิงหัวเตียงไว้
เอาช้อนตักโจ๊กจากชามขึ้นมา แล้วเป่า..
" หันหน้ามากิน "
เจ้าขิมมองค้อน แม้สรุปไม่ได้ว่าการแสดงออกของท่านหมอหนุ่มคืออะไรกันแน่ แต่ไม่อยากสัมผัสโดนตัวเขามากไปกว่านี้ จึงได้นอนพิงหัวเตียงอ้ารับเอาโจ๊กอุ่นเข้าปากจนหมดชาม จากนั้นก็เป็นการกินยาขมปี๋ตามเข้าไป
ดีที่หมิงซานยังคงเห็นใจหญิงสาว จึงได้ป้อนน้ำตาลก้อนเล็กให้ สีหน้าของคนที่ไม่เคยประสบยาขมแทบตายจึงดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปสามวันอาการของเจ้าขิมดีขึ้นเป็นอย่างมาก จากวันนั้นที่ท่านหมอทำตัวประหลาดแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรอีก อีกทั้งเจ้าตัวก็พยามไม่สัมผัสร่างกายของเธอโดยไม่จำเป็น
จึงทำให้เจ้าขิมไม่หวาดกลัวเขาอย่างในตอนแรก
" อยากไปนั่งเล่นที่ลำธารหรือไม่ " หมิงซานเอ่ยชวนหญิงสาวที่คล้ายมีท่าทีเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
แต่เพราะร่างกายยังไม่สามารถเดินด้วยตนเอง เพียงลุกขึ้นนั่งได้ ขยับแขนขาได้นิดหน่อยเท่านั้น เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ตนเองได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
" อยากไป "
เห็นหัวเล็กพยักหน้าขึ้นลงเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงได้กล่าวว่า
" เช่นนั้นเจ้าต้องขี่หลังข้าไป ทนได้หรือไม่ "
นี่เป็นเพราะท่านหมอเข้าใจโรคประหลาดนั่นดี จึงพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้จนเกินไป
แต่เพราะเห็นคนป่วยมีสีหน้าเบื่อหน่ายจึงสงสาร เสนอแนวทางออกไปเช่นนั้น นั่นเพราะเขาเองก็รู้ว่านางก็พยามเว้นระยะห่างจากตนเช่นกัน บางคราถึงกับกลั้นหายใจเมื่อเขาเข้าใกล้ก็เคยมี
ถามคำตอบคำ ประหยัดถ้อยกล่าวยิ่งกว่าประหยัดตำลึงเสียอีก แม้ดูแลมาหลายวันแล้วก็ตาม นางไม่คิดแม้แต่จะแนะนำตนเองว่าเป็นผู้ใด
...ชื่ออันใดมาจากไหน ยังไม่ยอมกล่าวสักครึ่งคำ
เพียงรู้ว่าเจ้าตัวยังคงหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทำร้ายหรือไม่อยู่เท่านั้น ระยะนี้พี่ใหญ่ติดพันภารกิจเป็นอย่างมาก จึงได้หายหน้าไป นางจึงได้ดูไว้วางใจเขามากขึ้นกว่าเดิม..
แต่ที่ต้องการจริง ๆ ไม่ใช่เพียงความไว้วางใจ
..เขาชอบนางอย่างที่เคยกล่าว แต่เพราะถ้อยคำที่เคยสาบานเป็นพี่น้อง มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ล้วนไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนความเป็นพี่น้องของพวกเขาไปได้ การที่จะให้นางเห็นความในใจของเขาอย่างแท้จริงจึงต้องใช้เวลา
ร่างสูงของท่านหมอผู้เก่งกาจมีชื่อเสียงในใต้หล้า ย่อกายหันด้านหลังอยู่ข้างเตียง