หลังจากหลงเทียนเจินเดินออกไปจากโถงอาหาร ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้
“คุณ!!”
ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แทบไม่รู้ตัว ก้าวเข้าไปใกล้หลงอวิ๋น ก่อนจะยกมือขึ้นแนบที่ข้างแก้มของเขา
มือฉันเย็นนิดหน่อยจากอากาศรอบตัว
แต่ผิวของเขา...เย็นกว่านั้นมาก เย็นจนฉันอดไม่ได้ต้องเอามืออีกข้างรองไว้ แล้วโน้มหน้าของเขาลงมาใกล้
“คุณไม่เป็นไรนะ?” ฉันมองเขาด้วยแววตาเป็นห่วง
“เมื่อกี้ดูคุณหัวร้อนน่าดูเลย…”
ดวงตาสีฟ้าของหลงอวิ๋นเบิกกว้างเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฉันสัมผัสได้เลยว่า เขาไม่คาดคิดว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างฉันจะกล้า ‘แตะหน้าเขา’ แบบนี้ มือของเขาที่เงื้อขึ้นเหมือนจะปัด แต่กลับชะงัก...แล้วค้างอยู่แบบนั้น
ละอองหิมะรอบกายเขาชะลอตัว และตรงตำแหน่งที่มือของฉันสัมผัสกับผิวของเขา—มี ไออุ่นจาง ๆ ลอยขึ้นราวกับหิมะเริ่มละลาย
“เจ้า...”
เสียงของเขาแผ่วเบา “...ช่างกล้าเหลือเกิน”
ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่สบตาเขานิ่ง สายตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจ กลายเป็นแววตาที่…อ่อนลง
ละอองหิมะรอบตัวค่อย ๆ ละลายในอากาศราวกับไม่เคยมี
“ข้าไม่เคย ‘หัวร้อน’ ตามที่เจ้าเรียก… ข้าเพียงแสดงจุดยืนของตน”
เขายกมือขึ้นมาแตะเบา ๆ ที่มือฉัน ไม่ใช่เพื่อผลักออก แต่ราวกับสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่เปราะบางเกินกว่าจะทำให้หายไป
“ไม่มีใครกล้าแตะต้องข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต...มาหลายร้อยปี”
“แม้แต่พี่ชายของข้าเอง”
เขาค่อย ๆ ดึงมือฉันออกจากแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน แต่ไม่ยอมปล่อย กลับกุมไว้แน่นในมือของตัวเอง
“สิ่งที่เจ้าได้พบในวันนี้... อาจทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”
“จากนี้ไป ข้าจำเป็นต้องคุ้มครองเจ้ามากขึ้น”
หัวใจฉันกระตุกวูบ
ไม่ใช่เพราะความกลัว — แต่เพราะคำว่า คุ้มครองจากเขา ฟังดู...ไม่ใช่แค่ “ปกป้อง”
ฉันกลืนน้ำลาย พลางชี้ไปยังผนังห้องที่มีรอยแตก น้ำแข็งยังเกาะอยู่บางจุด
“คุณไม่หัวร้อนตรงไหนดูสิ...เนี่ย ๆ ๆ”
“ไม่หัวร้อนได้ไง!”
ฉันกอดอก ทำหน้าฟึดฟัด แล้วพูดต่อ
“อ้อ! คำว่า ‘หัวร้อน’ ในโลกของฉัน มันหมายถึง โกรธ...โกรธมาก...โกรธจนควันออกหู!”
ฉันพยักหน้าหงึกหงักประกอบคำอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
หลงอวิ๋นปรายตามองรอยร้าวตามมือฉันที่ชี้ไปรอบห้อง ก่อนจะ...ยิ้มบาง ๆ ขึ้นอย่างน่าตกใจ
ใช่—ยิ้ม!
มุมปากเขายกขึ้นแบบเกือบจะมองไม่เห็น
แต่มันก็ ‘ใช่’!
“โกรธจนควันออกหู... ภาษาของเจ้าช่างน่าสนใจ”
หลงอวิ๋นก้าวกลับไปที่โต๊ะอาหาร ยกแก้วคริสตัลขึ้นจิบอย่างสงบ ก่อนจะเดินกลับมาหาฉันอีกครั้ง กลิ่นหอมหอมจาง ๆ ของไอหมอกและกลิ่นซีดาร์จากร่างเขา ทำให้ฉันใจเต้นแรง
“ถ้าข้าโกรธจริง ๆ ... เจ้าจะไม่เห็นแค่รอยแตกร้าวบนผนัง”
“แต่ห้องนี้ทั้งห้อง จะกลายเป็น ถ้ำน้ำแข็ง”
เขายื่นมือมาแตะปลายผมฉันเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบแต่ไม่เจ็บ — กลับทำให้ใจฉันสั่นมากกว่าเสียอีก
“หลงเทียนเจินอาจเป็นรัชทายาท...แต่ข้าไม่เคยคุกเข่าให้ใคร”
“แม้แต่กับพี่ชายของข้าเอง”
น้ำเสียงเขานิ่ง แต่ท่าทางกลับอบอุ่นอย่างประหลาด เหมือนเขายินดี...ที่จะเปิดหัวใจบางส่วนให้ฉันเห็น
เขายกมือขึ้นแตะใบหน้าของฉันเบาๆ นิ้วเรียวเย็นเฉียบไล้ไปตามแก้ม
“เจ้าเลิกเรียกข้าว่า ‘คุณ’ เถอะ เรียกข้าว่า ‘องค์ชาย’ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่เมื่อเราอยู่กันตามลำพัง...เจ้าเรียกว่า ‘หลงอวิ๋น’ ก็ได้”
ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นบนใบหน้าตามรอยของปลายนิ้วเขา
หลงอวิ๋นถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาหันไปมองอาหารบนโต๊ะ ที่ยังวางอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางกลิ่นไอของอารมณ์ที่พัดผ่านเมื่อครู่
“เจ้าควรกินอาหาร”
“เราควรใช้เวลาที่เหลือของวัน...ให้เป็นประโยชน์”
“ข้ามีบางอย่าง...อยากจะแสดงให้เจ้าเห็น”
เขาเดินไปดึงเก้าอี้ให้ฉัน กิริยาทุกอย่างสง่างาม...แต่แฝงความอ่อนโยนจนฉันรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาเฉย ๆ
วิญญาณรับใช้ลอยกลับเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ พวกมันจัดจานอาหารใหม่อย่างไม่กล้าเข้าใกล้ ราวกับรู้ว่า...ตอนนี้ มนุษย์เพียงคนเดียวในวังแห่งนี้ ได้รับ ‘สิทธิพิเศษบางอย่าง’ จากเจ้าของวังน้ำแข็งผู้นี้
❄️ ❄️ ❄️ ❄️ ❄️
หลังจากมื้ออาหารที่ร้อนแรงยิ่งกว่าราเมนในจาน และการเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทที่แทบทำให้วังล่ม…
ฉันนึกไม่ออกเลยว่า ‘สิ่งที่หลงอวิ๋นอยากแสดงให้ฉันเห็น’ จะเป็นอะไรได้อีก
แต่เขากลับเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ตามข้ามา…”
เขานำทางฉันเดินผ่านโถงน้ำแข็งยาวเหยียด แสงจากผนังผลึกสะท้อนเงาเราสองคนเดินเคียงกันตลอดทาง
เงียบ...จนฉันแทบได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง
เรามาหยุดตรงประตูเล็กบานหนึ่งที่แอบอยู่ด้านใน สวนหิมะ รอบตัวเงียบสงบ มีเพียงเสียงหิมะตกเบา ๆ และแสงจันทร์สีฟ้าครามเหนือศีรษะ
“ตรงนี้คือ...?” ฉันเอ่ยถามเบา ๆ
เขาไม่ตอบ แค่ยกมือขึ้นแตะผนัง — วงเวทบางอย่างปรากฏขึ้น แล้ว ประตูน้ำแข็งลับ ก็เปิดออกช้า ๆ
ภายในห้องนั้น...
ไม่ใช่แค่ ‘ห้องลับ’ แต่มันคือหัวใจอีกดวงของวังน้ำแข็ง — ดวงที่หลงอวิ๋นซ่อนไว้ไม่ให้ใครแตะต้อง
แสงไฟสีอุ่นจากโคมคริสตัลส่องกระทบผิวพรมเนื้อนุ่ม กลิ่นไวโอเล็ตอ่อน ๆ ที่ลอยคลุ้งในอากาศ ราวกับไอดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ไม่มีอยู่จริงบนผืนหิมะ
อุณหภูมิในห้อง...ไม่หนาวแม้แต่น้อย เหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นจาก “ความหวัง” ไม่ใช่เวทน้ำแข็ง
กลิ่นไวโอเล็ตอ่อน ๆ ลอยอบอวลในอากาศ พรมเนื้อนุ่มปูเต็มพื้น และมุมหนึ่ง มีโต๊ะเตี้ยพร้อมชุดน้ำชาวางไว้อย่างเรียบร้อย
“ที่นี่...คือ?” ฉันหันไปมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
เขามองไปรอบห้อง ราวกับกำลังสำรวจความทรงจำบางอย่างในหัว
“นี่คือห้องลับ...ที่ข้าสร้างไว้”
“…เพื่อวันหนึ่งที่ข้าจะกล้าพอ…เปิดมันให้ใครสักคนดู”
ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เสียงในอกดังขึ้นมาวูบหนึ่ง ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่คำถาม แต่เป็น...ความรู้สึกบางอย่างที่อบอุ่นขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
“ที่นี่...อบอุ่นจังเลยค่ะ”
“เหมือนเป็นห้องของมนุษย์มากกว่าห้องของมังกรน้ำแข็ง”
“เพราะข้าไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่คนเดียว”
หลงอวิ๋นพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอจะทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
หลงอวิ๋นเดินเข้าไปยังโต๊ะกลางห้อง
เขาหยิบถุงผ้าสีเงินที่มีลายปักละเอียดราวกับแผนที่ดวงดาวในคืนจันทร์เต็มดวง วางลงเบา ๆ แล้วเปิดออก
ภายในนั้น...คือกล่องไม้สีดำสนิท ที่ผิวกล่องถูกแกะสลักเป็นมังกรน้ำแข็งพันรอบพระจันทร์ ลายเส้นละเอียดเหมือนมีชีวิต มังกรกำลังแผ่ปีกปกป้องบางสิ่งไว้ภายใน
แต่พระจันทร์ตรงกลางกลับไม่ได้เยือกเย็น — หากแต่เปล่งประกายสีเงินอ่อน เหมือนหัวใจที่ยังเต้นภายใต้น้ำแข็ง
“ข้าคิดว่าเจ้า...ควรจะเห็นสิ่งนี้”
เสียงของเขานุ่มและนิ่งอย่างประหลาด
“มันคือหนึ่งในความลับของข้า และของตระกูลเรา”
ฉันเดินเข้าไปใกล้อย่างระวัง รู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในจุดศูนย์กลางของบางสิ่งที่ใหญ่กว่าแค่ ‘ความสัมพันธ์ของเรา’
แสงจันทร์จากหลังคาผลึกใสเหนือหัว ส่องลงมาพอดีกลางห้อง เราสองคนยืนอยู่ในวงแสงนั้น — เงาเราทาบซ้อนบนพื้นพรมนุ่ม เหมือนจุดเล็ก ๆ ที่บรรจบกันในมหาสมุทรของเวลา
หลงอวิ๋นไม่พูดอะไรอีก เขาค่อย ๆ ยื่นมือเปิดกล่องด้วยมือเปล่า ฝาไม้เปิดออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกลิ่นหอมจาง ๆ ของน้ำแข็งโบราณผสมกลิ่นเครื่องหอมบางชนิด
ภายในกล่อง...
คือคริสตัลวงกลมขนาดเท่าหัวใจคนหนึ่งดวง — ใสบริสุทธิ์ แต่ภายในกลับมีประกายแสงเคลื่อนไหวเป็นรูปคล้ายเงาจันทร์ และ...เสียง
ใช่ — เสียงกระซิบแผ่วเบา
เสียงของบทกวี...เสียงของคำสัญญา...
และเสียงของ ใครบางคนที่เคยรักใครสักคนอย่างหมดหัวใจ
“นี่คือ ‘จิตบันทึก’ ของราชวงศ์มังกร... บางคนใช้มันเพื่อเก็บเสียงคำสั่ง บางคนใช้เพื่อเก็บเสียงของคนที่เขา...ไม่อยากลืม”
ฉันหันไปมองหน้าเขาทันที
หลงอวิ๋นไม่หลบตาเลย ดวงตาสีฟ้าของเขาเยือกเย็นดังเคย — แต่ในนั้นมีเงาสะท้อนของแสงจันทร์ และบางอย่าง...ที่เขาไม่เคยเปิดให้ใครเห็น
“ข้า...ไม่เคยกล้าเปิดมัน”
“จนกระทั่งวันนี้”
เสียงในกล่องยังคงกระซิบเบา ๆ เป็นภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ แต่มันอบอุ่น...เศร้า...และงดงามจนใจสั่น
“เสียงนั้น...คือคำสาบานจากบรรพชนมังกรน้ำแข็งคนแรก”
“เขาเคยสาบานต่อผู้หญิงคนหนึ่ง...ว่าแม้โลกจะดับ หิมะจะมอด...เขาก็จะยังจดจำเธอไว้จนวินาทีสุดท้าย”
ฉันกลืนน้ำลายไม่ลง หัวใจเต้นแรง...แต่จังหวะกลับช้าลง เหมือนทุกอย่างในห้องนี้กำลังชะลอตัว เพื่อให้ความรู้สึกของเรา...ได้ทันกัน
หลงอวิ๋นปิดกล่องเบา ๆ ก่อนจะหันมามองฉันเต็มตา
“ข้าไม่รู้ว่าข้าควรกลัว หรือควรดีใจที่เริ่มเข้าใจคำสาบานนั้นขึ้นมาทีละนิด...เพราะเจ้า”
ฉันไม่พูดอะไร เพียงยืนอยู่ตรงนั้น — กลางห้องที่มีแสงจันทร์ และหัวใจที่ไม่มีเกราะน้ำแข็งอีกต่อไป
เพราะในคืนนี้...ฉันไม่ใช่แค่ผู้มาเยือน แต่เป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเลือกให้ ‘เห็น’ ไม่ใช่ด้วยเวท
แต่ด้วยใจของมังกร...ที่น้ำแข็งเริ่มละลายอย่างเงียบงัน