บทที่ 8 เกิดข้อเปรียบเทียบ

2868 Words
“นั่งก่อนสิ” อาโปเอ่ยบอกนาโนที่เดินแบกกระเป๋าเป้ใบโปรดเข้ามาในห้องทำงานของตัวเอง “สวัสดีครับ” นาโนยกมือไหว้แล้วหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานของอาโป “เรียกผมมามีอะไรเหรอครับ” “คืองี้ พี่กับทีมสตูฯ ได้คุยกันแล้วนะว่าเราจะทำเพลงให้นาโน เราจะให้นาโนได้เปิดตัวในฐานะศิลปินคนแรกของสตูฯ เรา” “จริงหรอครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นหลุดจากปากของนาโนพร้อมด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่อาโปเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน “อื้อ” อาโปยิ้มแล้วพยักหน้า “เยส! ในที่สุดก็ได้ทำเพลงซักที” “แต่มีข้อแม้นะ” อาโปเอ่ยขัดขึ้นระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังมีท่าทีดีใจ “อะไรเหรอครับ” “สัญญาก่อนว่าจะทำโดยไม่มีข้อแม้” อาโปจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเย็น “อืม...” นาโนนิ่งคิดมองอาโปกลับด้วยสีหน้าที่ลังเลและไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ “แล้วแต่นะ ถ้าไม่โอเคพี่ก็จะได้เลื่อนการทำเพลงออกไปก่อน” “บอกมาก่อนได้มั้ยครับ ว่าข้อแม้อะไร” อาโปยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยพูด “ได้ แต่ถ้าพี่บอกก่อนนาโนต้องตอบรับเท่านั้นนะ เพราะถ้าปฏิเสธพี่จะยกเลิกโปรเจ็คนี้ทันที” “ไรวะพี่” นาโนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ “จะเอาไง ไม่อยากทำตามฝันเหรอ” “...” นาโนนิ่งไปสายตายังลังเล จริงๆ ก็ไม่ได้จะอะไรมากนักหรอก เพียงแต่กลัวว่าถ้ารับปากไปก่อนแล้วอาโปบอกข้อแม้ในสิ่งที่เขาทำไม่ได้แล้วเขาจะเสียฟอร์ม นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนาโนถึงได้ลังเลนัก “ข้อแม้ของพี่มีข้อเดียว นาโนต้องมาซ้อมทุกวันตามตารางห้ามสายห้ามขาด” อาโปบอกพร้อมเปิดไอแพดแสดงหน้าจอตารางการซ้อมให้นาโนดู “โถ่ เรื่องแค่นี้สบายมากพี่” “แค่พูดใครๆ ก็พูดได้นะ แต่ต้องทำจริงให้ได้ด้วย” “สบายมากครับ” “จะรอดูแล้วกันนะ อย่าให้พี่ผิดหวังล่ะ” “ครับ” นาโนตอบรับพร้อมยกมือไห้วแล้วลุกเดินออกจากห้องทำงานของอาโปไป โดยมีสายตาคมของคนที่โตกว่าจ้องมองตามหลังไป อาโปไม่ได้อยากจะข่มขู่หรือทำตัวให้ดูมีเลศนัยสักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ว่าเขารู้ว่าคนอย่างนาโนนั้นถ้าให้บอกดีๆ ก็คงจะไม่ยอมทำตามง่ายๆ แน่ ไอ้นิสัยที่ไม่ชอบให้คนอื่นท้าทาย การจะขอให้ทำอะไรสักอย่างนั้นก็คงจะต้องมีเล่ห์กลหลอกล่อให้เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาสักหน่อย ไม่งั้นก็คงไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ครืดดด... ครืดดด... เสียงมือถือสั่นขึ้นดังขึ้นจากมือถือของอาโป เขาหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากศิลาจึงรีบกดเข้าไปดู “ฮัลโหลครับ” (อยู่ร้านกาแฟ พี่โปเอาอะไรมั้ยครับ) “เดี๋ยวพี่ไปหาที่ร้านครับ” คนตัวโตเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วคว้าไอแพดประจำตัวก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานเพื่อออกไปที่ร้านกาแฟร้านประจำที่อยู่ใกล้ๆ สตูฯ ระหว่างที่เดินผ่านชั้นสองเขาก็ไม่ลืมที่จะแอบแวะดูบรรยากาศภายในห้องซ้อมด้วยว่าเอ็มกับนาโนซ้อมกันเป็นยังไงบ้าง ภาพที่เห็นก็ไม่ได้เกินคาดสักเท่าไหร่ เมื่อสายตาของอาโปที่มองผ่านกระจกใสตรงบานประตูเข้าไปแล้วเห็นว่าเอ็มกำลังซ้อมเต้นอยู่หน้ากระจก ส่วนนาโนนั้นใส่หูฟังแล้วนั่งดูอะไรไม่รู้อยู่ในมือถือ ถ้าจะคิดในแง่ดีก็คงกำลังดูคลิปเต้นอยู่ล่ะมั้ง... อาโปส่ายหัวเบาๆ พร้อมถอนหายใจก่อนออกตัวเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อออกไปร้านกาแฟที่ศิลาไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว สองขาก้าวต่อเนื่องจากหน้าสตูฯ ไปจนถึงร้านกาแฟที่เป็นหมุดหมายของเขา สองมือออกแรงผลักประตูเข้าไปแล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ “อเมริกาโน่เย็นครับ” สั่งเสร็จอาโปก็ยื่นบัตรเพื่อชำระค่ากาแฟทันที จากนั้นยืนรอไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกขานชื่อของตัวเองเพื่อให้ไปรับกาแฟที่อีกจุดหนึ่งของเคาน์เตอร์ มือหนาคว้าหยิบเอาแก้วกาแฟแล้วเดินไปหาตำแหน่งโต๊ะที่ศิลาได้ไลน์บอกเอาไว้ตั้งแต่ระหว่างที่เดินออกมาจากสตูฯ “พี่โป” ศิลาเอ่ยเสียงเรียกทันทีที่มองเห็นร่างสูงของแฟนตัวเองพร้อมทั้งชูมือเป็นสัญญาณ อาโปเดินตรงลิ่วเข้าไปที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าก่อนจะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “เป็นไงมั่งพี่ คุยกับนาโนแล้วใช่มั้ยครับ” ศิลาเอ่ยปากถามทันที “อื้อ ก็คุยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไงเหมือนกัน” “ได้ทำเพลงของตัวเองแล้ว ถ้ายังไม่กระตือรือร้นก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วเหมือนกัน” ศิลาบ่นกระปอดกระแปด “ยังไงพวกเราก็ต้องคอยกระตุ้นอยู่ดีและ ทำทั้งทีก็ไม่อยากให้เสียชื่อสตูฯ” “ดีที่ไม่ต้องเสียเงินของสตูฯ นี่แหละ ไม่งั้นนาโนเจอผมแน่ จะให้ซ้อมไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลย” “เราอย่าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะเลยดีกว่า ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีต่อตัวนาโนนะ” อาโปเอ่ยเตือนก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ “ก็จริงง ข่าวซุบซิบยิ่งไปไวอยู่ด้วย เดี๋ยวจะมาค่อนขอดอีกว่าพี่โปรับเงินใต้โต๊ะ เดี๋ยวนี้ในทวิตเตอร์ข่าวไวจะตาย บางทีไม่ใช่เรื่องจริงด้วยซ้ำ สักแต่จะด่าเอามันเท่านั้นแหละ พอเห็นคนล้มหน่อยก็ตามมาด่ากันเป็นขบวน” “เดี๋ยวๆ หนูไปโมโหอะไรมาเนี่ย ยังไม่มีใครทำอะไรพี่เลย” อาโปแอบหัวเราะขำเมื่อเห็นศิลาเริ่มหัวร้อนจนอาการออก “ก็แค่กังวลล่วงหน้าเฉยๆ อะ กลัวพี่โปจะโดนด่าเพราะไอ้น้องนาโนเนี่ยแหละ” เสียงของศิลาอ่อนลงทันทีเมื่อถูกเอ่ยทักถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเอง “เอาน่า เรื่องยังไม่เกิดอย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน เรามาวางแผนว่าจะทำโปรเจ็คนี้ยังไงให้ออกมาดีที่สุดดีกว่าเนอะ” อาโปพูดพลางคว้ามือเรียวของอีกฝ่ายมากุมไว้ “แต่ก็ขอบคุณนะครับที่หนูเป็นห่วงพี่” “หลังจากนี้พี่โปมีอะไรต้องบอกนะ ห้ามปิด ผมไม่อยากให้พี่เครียดแล้วเก็บไว้คนเดียว” ศิลาเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้เลยครับ” อาโปตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะทำท่าตะเบ๊ะแบบตำรวจ หลังจากวันที่ได้ตกลงกันว่าจะทำโปรเจ็คเดบิวต์ซิงเกิ้ลให้กับนาโน งานในสตูดิโอก็ดูจะหนักหน่วงขึ้นกว่าปกติ เพราะต้องเริ่มเตรียมงานกันตั้งแต่แรก ประชุมกันแทบทุกวันเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดมาซัพพอร์ตให้กับนาโน เพื่อที่จะปล่อยผลงานที่ดีทีสุดออกมาให้ทุกคนได้เห็น ทีมงานแต่ละฝ่ายถูกเรียกเข้ามาคุยไม่ว่าจะเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม รวมไปถึงคอนเซปท์ต่างๆ ที่จะใช้ในการถ่ายภาพนิ่งและในมิวสิควิดีโอ ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างแข็งขันเพื่อช่วยให้งานนี้ออกมาดีที่สุด ทั้งอาโป ศิลา กานต์ รวมไปถึงเตชินท์ที่ถูกจ้างให้มาช่วยเป็นผู้กำกับ ต่างก็ทุ่มฝีมือกันเต็มที่เพราะมีชื่อเสียงสตูฯ เป็นเดิมพัน ซึ่งต่างกับเจ้าตัวศิลปินอย่างลิบลับ... เสียงเพลงถูกเปิดดังต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเช้าเพราะเอ็มมาใช้ห้องซ้อมเพื่อซ้อมเต้น เนื่องจากครั้งล่าสุดที่เรียนกับครูเบย์ไปเขาถูกคอมเมนต์ว่ายังแก้ไขส่วนที่เขาบกพร่องได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ทำให้เอ็มต้องใช้เวลาซ้อมเพิ่มมากกว่าเดิม ประตูห้องซ้อมถูกเปิดออกพร้อมปรากฏร่างของนาโนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตึงๆ แล้วเหวี่ยงกระเป๋าลงที่พื้นห้องซ้อม เอ็มไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะเป็นภาพที่เห็นอยู่จนคุ้นตา แก๊ก! นาโนกดปุ่มปิดลำโพง เสียงเพลงดับลงทันที เรียกเอาความหงุดหงิดจากเอ็มจนคิ้วขมวด เอ็มหันหลังกลับไปมองนาโนที่ยืนนิ่งจ้องหน้าอยู่ตรงลำโพง เขาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ไม่พอใจแต่ก็ยังพยายามควบคุมตัวเองอยู่เพราะไม่อยากจะมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันในนี้ “มึงปิดเพลงทำไม” เอ็มถามเสียงแข็ง “นี่เวลาซ้อมของกูละ” เอ็มยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ทีแบบนี้ล่ะตรงเวลาเชียวนะ” “ก็ต้องตั้งใจหน่อยป้ะ คนมันจะได้ทำเพลงแล้วอะ” นาโนพูดแล้วยิ้มมุมปากเดินตรงไปหน้ากระจกก่อนจะทำท่าทางยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมตัวซ้อมเต้น “จะคอยดูละกันว่าจะขยันได้สักกี่วัน” เอ็มก้มลงคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองเหวี่ยงเข้าพาดไหล่แล้วเดินออกจากห้องซ้อมไป นาโนกดเปิดเพลงจากมือถือที่ต่อบลูทูธเข้ากับลำโพงของห้องซ้อมแล้วเริ่มวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมเรียนเต้นกับครูเบย์ ซึ่งคลาสวันนี้เป็นครั้งแรกที่เริ่มเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมเพื่อเตรียมตัวสำหรับโปรเจ็คซิงเกิ้ลแรกที่อาโปได้เคยบอกไว้ก่อนแล้วว่าการซ้อมจะหนักขึ้นกว่าเดิมมากให้นาโนเตรียมตัวไว้ให้พร้อม แต่เอาเข้าจริงเขาก็คิดเพียงแค่ว่าอาโปคงแค่พูดขู่เท่านั้น “พร้อมมั้ยวันนี้” ครูเบย์เปิดประตูเข้ามาทักทายแล้วเดินตรงไปที่หน้ากระจกทันที “สวัสดีครับ” นาโนกดหยุดเพลงในมือถือแล้วยกมือไหว้ทักทายก่อนจะหันไปมองกระจกทันที ครูเบย์เริ่มคลาสทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา เริ่มจากการยืดเส้นเพื่อเตรียมความพร้อมและต่อด้วยการทำเบสิคฮิปฮอปซึ่งหลังจากเริ่มไปได้ไม่นานสีหน้าของนาโนก็เริ่มออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด “มีอะไรหรือเปล่า” ครูเบย์เอ่ยถาม “ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้อีกอะครู นี่มันเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่เลยนะ ของพวกนี้ผมเรียนตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนเต้นแรกๆ แล้วนะครู” นาโนบ่นยับพร้อมชักสีหน้าแล้วยืนกอดอก “ครูก็แค่อยากดูความพร้อมของร่างกายเฉยๆ จะได้รู้ว่ามีเบสิคมากน้อยแค่ไหน จะได้สอนถูก” “แล้วที่ผ่านมาที่เคยเรียนเต้นกันทุกคลาสครูไม่ได้สังเกตหรอครับ” “แล้วตอนเรียนเธอได้ตั้งใจเต้นจริงๆ มั้ยล่ะ” ครูเบย์ถามเสียงนิ่งทำเอานาโนที่ได้ยินก็สะอึกไปเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาเวลาเรียนเต้น เขาก็ไม่เคยจริงจังเลยสักครั้งเพราะคิดเพียงแต่ว่ามันน่าเบื่อที่คนเต้นเก่งระดับเขาทำไมยังต้องมาเสียเวลาเรียนเต้นอยู่อีก “แต่ครูก็รู้ว่าผมเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก สกิลเต้นผมไม่แพ้ใครอยู่แล้ว” “โอเค งั้นก็ตามใจ เดี๋ยวเริ่มต่อท่าเลยแล้วกันเนอะ ได้ฟังเพลงของตัวเองแล้วรึยัง” ครูเบย์ตัดปัญหาเพราะเริ่มโมโห นาโนส่ายหัว ครูเบย์เลยกดเปิดเพลงให้ฟังก่อนในรอบแรกเพื่อให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้จังหวะและสไตล์เพลงที่ตัวเองกำลังจะเป็นเจ้าของว่าเพลงของตัวเองเป็นแบบใด ก่อนที่จะเริ่มสอนท่าเต้นที่เอาไว้ใช้ในเพลง หลังฟังเพลงจบสีหน้าของนาโนก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความพึงพอใจปรากฏเด่นขึ้นมาบนใบหน้า ครูเบย์สังเกตเห็นจึงเริ่มต่อท่าให้ลูกศิษย์ของตัวเองทันที ด้วยความสามารถที่ติดตัวของนาโนทำให้การเรียนรู้ท่าเต้นของเขานั้นเป็นไปได้ด้วยดีและใช้เวลาไม่นาน เพียงวันแรกนาโนก็สามารถจดจำท่าเต้นได้จนถึงท่อนฮุค ทำเอาครูเบย์รู้สึกดีกับตัวนาโนขึ้นมาไม่ใช่น้อย ซึ่งคลาสในวันนั้นก็จบลงไปด้วยการอัดคลิปเก็บไว้เพื่อที่ว่าหากนาโนลืมท่าจะได้เปิดเข้ามาดูและซ้อมได้ เพราะครูเบย์จะเข้ามาอีกทีก็อีกหนึ่งอาทิตย์เต็ม นาโนจึงต้องใช้เวลาซ้อมด้วยตัวเองตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นอย่างที่เอ็มเคยปรามาสไว้ตั้งแต่วันแรกว่าจะขยันไปได้อีกสักกี่วัน เพราะนี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วจากวันแรกที่ได้รับท่าเต้น นาโนดูขยันอยู่แค่สองวันแรกเท่านั้นแหละ พอเข้าวันที่สามนาโนก็เริ่มกลับไปติดนิสัยเดิมที่ซ้อมเต้นซ้อมร้องแค่พักเดียวแล้วก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อย เป็นภาพที่อาโปและศิลาเห็นกันมานานผ่านจอของกล้องวงจรปิดตั้งแต่ก่อนที่จะทำเพลงให้นาโนเสียอีก “นาโนคนเดิมกลับมาละ” อาโปชี้นิ้วไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องซ้อมเห็นนาโนนอนเล่นมือถืออยู่ในห้องซ้อมเต้น “ห้าวันแน่ะ นานกว่าที่คิดอีกแฮะ” ศิลาพูดพลางอมยิ้มเพราะเขาก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนแบบนาโนไม่มีทางที่จะขยันซ้อมแบบจริงจังได้นานสักเท่าไหร่หรอก แต่ก็นานกว่าที่คาดไปมาก ลูกคุณหนูไม่เคยต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ พอมาเจออะไรแบบนี้ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยก็เลยไม่ได้กระตือรือร้นสักเท่าไหร่ เพราะก็รู้อยู่ว่ายังไงตัวเองก็ได้ทำเพลงอยู่ดี “เดี๋ยวผมไปเคลียร์ให้พี่โป” ศิลาลุกพรึ่บจากเก้าอี้ในห้องทำงานของอาโปแล้วเดินลงไปที่ห้องซ้อมชั้นสองทันที ก๊อกๆๆ ศิลาเคาะประตูห้องซ้อมก่อนจะเปิดเข้าไป นาโนที่นอนเล่นมือถือสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งแล้วมองหน้าศิลานิ่ง แม้ข้างในหัวใจจะกำลังเต้นแรงก็ตาม “อู้เหรอ” ศิลาแกล้งแซวด้วยท่าทีขำๆ “เปล่าซะหน่อย ผมดูคลิปเต้นอยู่” นาโนบอกปัดด้วยคำโกหกที่คิดว่าจะเนียน ศิลาพยักหน้ารับถึงแม้ในใจจะไม่ได้เชื่อที่คนตรงหน้าพูดสักเท่าไหร่ “งั้นเต้นให้ดูหน่อยดิ เดี๋ยวพี่จะได้อัดคลิปไปให้พี่โปดูความคืบหน้าซะหน่อย ว่าแบบซ้อมไปถึงไหนแล้วไรงี้” นาโนจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเดินไปเตรียมตัวที่กลางห้องซ้อม “พี่เปิดเพลงให้ด้วยนะ” “เคได้ พร้อมแล้วบอก” ศิลาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องรอถ่ายวิดีโอ พอเห็นมือของนาโนที่ทำสัญญาณโอเคมาให้ เขาก็กดเปิดเพลงแล้วเริ่มอัดคลิปทันที เสียงเพลงดังประสานไปกับท่าเต้นของนาโนที่กำลังขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ความสามารถของนาโนเป็นอันรู้กันดีทั้งสตูฯ ว่าไม่เป็นสองรองใคร แต่เพราะด้วยอีโก้ของเด็กคนนี้จึงทำให้ความสามารถที่ควรจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้กลับเห็นพัฒนาการได้น้อยมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบนาโนก็คงเป็นเหมือนน้ำที่เต็มแก้วอยู่ในตอนนี้... พอน้องเต้นจบศิลาก็กดหยุดอัดแล้วเก็บมือถือลงกระเป๋าทันที ไม่ต้องส่งคลิปไปถึงอาโปหรอก แค่ลำพังเขาคนเดียวก็พูดได้เลยว่าเก่งแต่อ่อนซ้อมไปหน่อย “จำท่าได้หมดยัง” ศิลาถาม “ได้แล้วดิพี่ ระดับผม” “แต่เมื่อกี้พี่ดูแล้วไม่รู้สึกไรเลยว่ะ ก็ทั่วๆ ไป ไม่มีออร่าศิลปินเลยว่ะ” “โห พูดแรงไปปะพี่ ยังซ้อมไม่ถึงวีคนึงเลย” “เอ้า! แต่นักเต้นเท้าไฟระดับนาโนเลยน้า...” “พี่จะมาเอาไรกับผมเนี่ย” นาโนเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกถูกกระแนะกระแหน “ก็แค่จะมาเตือนว่าให้ตั้งใจซ้อมเยอะๆ หน่อย สตูฯ ตั้งใจมาก พี่ทีมงานทุกคนก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อเตรียมงานให้แก เพราะฉะนั้นก็อย่าเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา เป็นศิลปินมีหน้าที่ซ้อมก็ตั้งใจซ้อมไป อย่าให้คนอื่นเขาต้องมาเหนื่อยฟรี” ศิลาร่ายเสียยาวเหยียดเพราะคิดว่าควรพูดไปเลยทีเดียวให้จบ ไปตรงๆ ไม่ต้องมาอ้อมค้อมกัน เพราะมันเสียเวลา “เรื่องนั้นผมรู้อยู่ละ ไม่ต้องย้ำบ่อย มันน่าเบื่อ” นาโนพูดแล้วเดินมาหยิบขวดน้ำเปล่ายกขึ้นดื่มเสียงอึกๆๆ ดังยกใหญ่ “ถ้างั้นก็อย่าให้เห็นอีกนะว่าแอบอู้ในห้องซ้อมอะ มันน่าเบื่อ” ประโยคสุดท้ายถูกศิลาพูดออกมาด้วยการล้อเลียนจนทำเอานาโนหัวร้อนขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD