บทที่ 9 หยุดยาวนี้อย่าให้ใครมาขวางสองเรา

3458 Words
“พี่โปปป เสร็จยังครับ” ศิลาร้องเรียกอาโปที่อยู่ในห้องนอน ส่วนเขาก็ยกกระเป๋าสัมภาระของตัวเองไปวางไว้ที่บริเวณประตูทางออกของบ้าน “เสร็จแล้วค้าบบ” อาโปเดินถือกระเป๋าออกมาจากห้องนอนแล้วเดินตรงไปหาศิลาทันทีก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแล้วบิดเพื่อเปิดออก ก่อนจะเดินออกไปโดยมีคนน้องเดินถือกระเป๋าตามหลังเพื่อไปขึ้นรถ รถยนต์คู่ใจของอาโปขับออกจากบริเวณบ้านแล้วมุ่งหน้าตรงไปสู่พัทยา จุดหมายปลายทางที่เขาทั้งคู่มักจะเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่เสมอเพราะมีความทรงจำมากมายอยู่ที่นั่น อีกอย่างก็ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากเนื่องจากไม่ได้อยู่ไกลจากกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่นัก แม้จะมีวันหยุดเพียงน้อยนิดแต่ก็สามารถไปเที่ยวทะเลสวยๆ ได้ที่นี่ การไปเที่ยวพัทยาบ่อยๆ สำหรับคนอื่นมันอาจจะน่าเบื่อ แต่สำหรับอาโปและศิลามันคือสถานที่อันทรงเสน่ห์และเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวหลายอย่างที่เขาทั้งคู่ยังคงจดจำไม่เคยลืม สถานที่แรกที่คนทั้งคู่เริ่มใจเต้นแรงเพราะรู้สึกหวั่นไหวในกันและกัน... อากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใสและแสงแดดส่องสว่างกระจ่างแจ้งทั่วท้องฟ้า อาโปขับรถเลียบไปตามริมหาดแล้วค่อยๆ กดลดกระจกรถลงเพื่อรับลมทะเลที่กำลังพัดวูบไหวหอบเอากลิ่นทะเลและผืนทรายเข้ามาสัมผัสจมูกของเขา ศิลายกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางบนขอบหน้าต่างรถแล้วหย่อนคางวางลงบนแขนนั้นก่อนจะทอดสายตามองยาวออกไปที่ริมชายหาดที่ทอดยาวตลอดสาย “อากาศดีจัง” ศิลาเอ่ยพูดออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงวูบหนึ่งของสายลมที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา “ช่าย แต่พี่ว่าแดดแรงไปหน่อย” อาโปหันมาบอกอีกฝ่าย “ดีออกครับ ผมว่าจะนอนอาบแดดสักหน่อย อยากให้ผิวแทนกว่านี้ จะได้เซ็กซี่ๆ” “เดี๋ยวเหอะ หนูเก็บไว้เซ็กซี่กับพี่คนเดียวก็พอ พี่หวง” คนพี่แสร้งทำสีหน้าดุๆ ใส่คนน้องที่กำลังนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ที่เบาะข้างๆ “พี่โปจะหวงทำไมครับ คงไม่มีใครได้เห็นรอยขอบบิกีนี่ที่ไหม้แดดตรงต้นขาของผมนอกจากพี่โปหรอกครับ” “ถ้าหนูเอาไปให้ใครเห็นล่ะก็ พี่จะทำโทษให้หนักเลยคอยดู” ศิลายู่หน้ากวนกลับไปให้อาโปแทนคำตอบ แต่การยิ่งทำแบบนี้ยิ่งทำให้อาโปยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวมากขึ้นไปอีก มือหนาคว้าหมับเข้าที่จมูกแล้วบีบเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปโฟกัสกับการขับรถต่อไปยังที่พักที่ปักหมุดหมายเอาไว้ตั้งแต่แรก อาโปเลี้ยวรถเข้ามาภายในคอนโดแห่งหนึ่งริมชายหาดที่เขาและศิลาคุ้นตาเพราะเป็นคอนโดของบ้านอาโปที่ซื้อเอาไว้สำหรับการมาพักผ่อนช่วงวันหยุด เพราะจะได้ไม่ต้องไปจองโรงแรมให้ยุ่งยากเนื่องจากครอบครัวของอาโปนั้นชื่นชอบการมาเที่ยวทะเลมาก พัทยาจึงกลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เขาและศิลาช่วยกันขนกระเป๋าสัมภาระลงจากรถเมื่อรถจอดสนิทในที่จอดรถของอาคาร ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในคอนโดโดยที่ระหว่างทางก็หยุดทักทายกับแม่บ้านและพนักงานในคอนโดบ้างประปราย เพราะรู้จักมักจี่และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กระเป๋าสัมภาระถูกจัดเก็บเข้ามุมก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะคว้ามือเอารีโมตแอร์มากดเปิดเพื่อให้อากาศในห้องเย็นสบายขึ้น เขาเดินไปรูดผ้าม่านให้เปิดออก เผยให้เห็นวิวผ่านบานหน้าต่างเป็นผืนทะเลกว้างออกไปมองดูแล้วสบายตา อาโปที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมาก็เดินตรงมาสวมกอดเข้าจากทางด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วลอบหอมแก้มศิลาจนแก้มยุบลงไปตามแรงกดจากริมฝีปากนั้น ก่อนที่เขาจะวางคางลงบนไหล่ของคนตัวเล็กตรงหน้า “พี่โป...” เสียงครางในลำคอเรียกชื่อของอีกฝ่ายเริ่มดังขึ้นเมื่อเขากำลังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มอยู่ไม่สุข ลิ้นร้อนเริ่มไล้ไปตามลำคอเนียนลามขึ้นไปถึงใบหูนั้น “ขอหน่อยนะครับนานๆ ทีจะได้อยู่กันสองคนเงียบๆ แบบนี้” เสียงกระเส่าถูกส่งผ่านจากริมฝีปากที่เพิ่งงับใบหูของศิลาไปหมาดๆ “พี่โป... ไว้ก่อนแล้วกันนะครับ” ศิลาผละตัวเองออกห่างจากอ้อมกอดนั้น ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาเองก็มีอารมณ์ที่อยากจะสนองความต้องการของคนพี่ แต่เขาก็คิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม อดใจรอไว้อีกสักหน่อยคงจะดีกว่า “โถ่... หนูอย่าแกล้งพี่สิ” อาโปพยายามจะเข้าไปกอดศิลาอีกครั้ง แต่สีหน้าตำหนิจากอีกฝ่ายก็ทำเอาอาโปหน้างอจนต้องยอมแพ้ไป “ไม่ได้แกล้งนะครับ แต่เรามาทะเลทั้งทีก็ออกไปดื่มด่ำกับบรรยากาศกันก่อนสิครับ” “ก็ได้ๆ ละหนูอยากไปไหน” “นี่ครับ” ศิลาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแล้วยื่นให้อาโปดู “คาเฟ่ตกหมึก?” “ใช่ครับ มันเป็นคาเฟ่อยู่กลางทะเลแล้วก็มีกิจกรรมให้ตกหมึกด้วย” “หนูรู้ใช่มั้ยมันอยู่ตรงไหน เพราะพี่ไม่รู้จัก” “ไม่รู้อ่า แต่พี่โปก็เปิด GPS ได้หนิครับ มันชื่อร้าน Tappia อะครับ เสิร์ชเอาก็น่าจะเจออยู่” อาโปคว้าเอามือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วกดค้นหาชื่อร้านในกูเกิ้ล เมื่อหน้าเพจและแผนที่ปรากฏขึ้นมา เขาเลือกกดดูแผนที่เพื่อหาเส้นทางในการเดินทางไปยังร้านก่อนจะสังเกตเห็นว่าเวลาเปิดของร้านคือสี่โมงเย็น “ร้านเปิดตั้งสี่โมงแน่ะ ต้องจองก่อนมั้ย” “ผมจองเรียบร้อยแล้วครับ” ศิลาเปิดหน้าไลน์ที่คุยกับทางร้านเอาไว้ให้อาโปดูพร้อมยิ้มกว้าง “งั้นเดี๋ยวเราไปหาไรกินเป็นมื้อเที่ยงก่อนแล้วกันเนอะ” “ได้ครับ” ศิลายังคงยิ้มกว้างก่อนจะเดินตามอาโปออกจากห้องไป ทั้งคู่ขับรถไล่ตามหาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวัน รถเคลื่อนตัวไปช้าๆ เพื่อมองหาร้านตามตึกแถวที่อยู่ในตัวเมือง ก่อนที่ศิลาจะสะดุดตากับร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านตามสั่งทั่วไปแต่ดันมีเมนูใหม่ขึ้นป้ายแนะนำอยู่หน้าร้านตัวเบ้อเริ่ม ใหม่! เมนูกัญชา สั่งได้ตามใจ “เอาร้านนี้มั้ยพี่โป” ศิลาชี้นิ้วไปที่ป้ายหน้าร้าน อาโปไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดที่ริมฟุตบาททันที ศิลาเดินนำเข้าไปในร้านแล้วชูสองนิ้วบอกพนักงานในตอนที่อีกฝ่ายถามว่ามากี่คน จากนั้นก็เดินตามไปนั่งยังโต๊ะตัวที่ว่างอยู่ก่อนจะรับเมนูมาเปิดดู มือเรียวพลิกหน้ากระดาษแข็งเพื่อหาเมนูที่ตัวเองอยากจะลองชิม เมนูกัญชา “อยากลองชิมอันนี้อะพี่โป” ศิลาจิ้มนิ้วลงไปที่รูปอาหาร “เล้งก***าหรอ” “ช่าย อยากชิมง่ะ” “ก็สั่งเลย แล้วจะเอาอย่างอื่นอีกมั้ย” “กะเพราหมูสับก***า” “งั้นพี่เอาต้มเลือดหมูก***าละกัน” “โอเคครับ” ศิลารับคำแล้วจดรายชื่อเมนูลงในกระดาษเปล่าก่อนจะยกมือเรียกพนักงานร้านมารับไป “เล้งก***านี่ให้ใส่ใบก***ากี่ใบดีครับ” พนักงานงานหนุ่มเอ่ยถามเมื่อไล่อ่านเมนูในกระดาษใบนั้น “เลือกได้ด้วยเหรอครับ” อาโปถามด้วยความประหลาดใจ “ใช่ครับ ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนใบครับ” “แล้วปกติตามในเมนูใส่กี่ใบครับ” อาโปถามต่อ “เล้งก***าปกติจะใส่ 2 ใบครับ” “งั้นเอาแค่นั้นพอแล้วครับ อยากลองชิมเฉยๆ ครับ” อาโปเอ่ยตอบพร้อมส่งยิ้มเล็กๆ ให้พนักงานคนนั้นก่อนที่เขาจะเดินออกไป “โหดเหมือนกันนะครับ คิดราคาตามใบที่ใส่ โคตรธุรกิจ” ศิลาแอบพูดเสียงเบา “ก็นะ มีคนได้ประโยชน์จากธุรกิจนี้นี่นา ไม่งั้นเขาจะผลักดันให้ก***ามันถูกกฎหมายทำไมกัน” อาโปพูดพลางอมยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่นเพื่อรออาหารมาเสิร์ฟ ไม่นานพนักงานของร้านก็เริ่มทยอยนำอาหารมาวาง มือถือของทั้งอาโปและศิลาถูกหยิบขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ใบก***าในอาหารที่นำมาเสิร์ฟถูกทำให้มองเห็นเด่นชัดก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดไอจีเพื่อถ่ายลงในสตอรี่ของตัวเอง มื้อเที่ยงนี้ถูกจัดการไปอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะอาหารอร่อย แต่เป็นเพราะว่าอาหารที่สั่งมานั้นไม่อร่อยเลยต่างหาก ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่ามันเป็นเพราะใบก***าหรือเปล่าถึงทำให้อาหารมีรสชาติที่แปลกไป แต่พอทักไปถามเพื่อนฝูงที่เคยลองกินเมนูก***าก็ได้แต่บอกว่าอันที่ได้กินกันมันก็เป็นแค่สมุนไพรไม่ได้ส่งผลต่อรสชาติขนาดนั้น ทั้งศิลาและอาโปก็เลยได้ข้อสรุปว่าคงเป็นที่ร้านเองที่ทำอาหารไม่อร่อยแถมยังแพงอีกด้วย ข้าวกะเพราหมูสับปกติในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอาจมีราคาแค่ 50-60 บาท แต่พอใส่ก***าเข้าไปแล้วราคาดีดขึ้นไปถึงจานละ 90 บาทเลยทีเดียว “ไม่อร่อยสักอย่าง งงมาก แถมแพงอีก” ศิลาบ่นยับเมื่อขึ้นมาในรถ “ฮ่าๆๆ อยากลองเองนะ” “แล้วพี่โปก็ไม่ห้ามเลย” “พี่ก็ไม่เคยกินมาก่อนเหมือนกันไงครับ เลยไม่ได้ห้าม” “เซ็งเลย หิวๆ แทนที่จะได้กินของอร่อยๆ” “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้ไปกินของอร่อยๆ กันละไง” อาโปเอ่ยปลอบใจก่อนจะออกรถ “แล้วนี่ไปไหนกันต่อดี อีกตั้ง 2 ชั่วโมงแน่ะกว่าจะถึงเวลาคาเฟ่ตกหมึกเปิดอะ” “อืม ขอดูก่อนนะครับ” ศิลาเปิดมือถือขึ้นเสิร์ชหาสถานที่ที่อยากไปเพื่อฆ่าเวลา “หรือว่าเราไปอควาเรียมกันมั้ยครับ” อาโปเอ่ยถาม “ดีลครับ ไปๆๆ” สีหน้าของศิลาดูตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น คนพี่จึงรีบหันหัวรถแล้วขับตรงไปยังสถานที่ปลายทางที่ตัวเองเคยมากับที่บ้านสมัยยังเป็นเด็กซึ่งเขาเองก็ไม่ได้มานานแล้วเหมือนกัน การกลับไปครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะได้รื้อฟื้นความทรงจำครั้งวัยเด็กให้กลับมา รวมถึงยังได้สร้างความทรงจำครั้งใหม่ร่วมกับศิลาอีกด้วย อุโมงค์ใต้น้ำยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อยู่เสมอ ศิลากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในนั้นแล้วเงยหน้ามองพันธุ์ปลาต่างๆ ที่ดูแปลกตา บางชนิดก็เพิ่งจะเคยเห็นที่นี่เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สีหน้าและท่าทางของศิลาดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังสนใจบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า ทำเอาอาโปที่เดินตามหลังมาอดที่จะยิ้มตามเพราะความเอ็นดูไม่ได้ เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วในอควาเรียมนั้น เดี๋ยวหยุดดูปลานั่นนี่ แวะถ่ายรูปให้กันและกันบ้าง บางทีก็ยืนฟังวิทยากรอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำในแต่ละตู้จนเวลาล่วงเลยไปแบบที่ทั้งคู่ก็ไม่ทันได้รู้ตัว สำหรับคนอื่นมันอาจจะดูเป็นทริปที่ธรรมดา แต่สำหรับเขาทั้งคู่คือช่วงเวลาที่ค่อนข้างพิเศษอยู่เหมือนกัน เพราะว่าตั้งแต่เปิดสตูดิโอมาทั้งสองคนก็ไม่เคยได้ใช้เวลาไปเที่ยวด้วยกันแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง นี่จึงถือเป็นการออกมาเที่ยวพักผ่อนกันแบบสองคนโดยไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ใกล้เวลาสี่โมงเย็นอาโปขับรถตรงดิ่งไปยังท่าเรือแหลมบาลีฮายเพื่อที่จะได้ขึ้นเรือสปีดโบ๊ทไปยังคาเฟ่ตกหมึกที่อยู่กลางทะเล ผู้คนมารอต่อคิวเพื่อเช็กอินขึ้นเรืออยู่จำนวนประมาณหนึ่งแต่ก็ไม่ได้เยอะเกินจนเวียนหัว ทั้งคู่ค่อยๆ เดินไหลไปตามคนข้างหน้าจนกระทั่งได้ขึ้นเรือ พอมาถึงก็เดินเลือกโต๊ะที่อยู่ในมุมที่พวกเขาคิดว่าจะถ่ายรูปออกมาแล้วสวย อาหารถูกสั่งเมื่อพนักงานร้านเดินนำเมนูมาให้รวมไปถึงเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่ในรีวิวบอกว่ามาแล้วต้องสั่ง หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะไปหมด “ซีฟู้ดเต็มไปหมด” ศิลาพูดพลางมองไปรอบๆ แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอัพสตอรี่ “แพ้แล้วหนูจะสั่งทำไม” “อยากชิมอะครับ มาทะเลให้กินอย่างอื่นก็ไม่ได้ฟีลอ่า” ศิลาบ่นกระปอดกระแปดเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนอีกฝ่ายดุ ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองแพ้อาหารทะเลแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสั่งทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเล ถ้าไม่ได้ลองกินสักนิดก็น่าเสียดายแย่... “ระวังด้วยนะ เอายาแก้แพ้มารึเปล่า” อาโปเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เอามาครับ แต่เดี๋ยวผมกินนิดเดียวแหละ แค่ชิมๆ” อาโปพยักหน้าตอบแต่สายตายังคงเป็นห่วงและจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นคนน้องตักกุ้งชิ้นเล็กเข้าปากก่อนจะตามด้วยเนื้อปูอีกเล็กน้อย ศิลาเองก็ไม่ได้อยากจะกินเยอะเพราะว่าเขาเองก็ต้องเตรียมร่างกายเอาไว้ให้พร้อมสำหรับคืนนี้ด้วยเหมือนกัน ถ้าอาการแพ้เกิดกำเริบหนักขึ้นมาเขาคงจะเสียดายแย่ นานๆ จะได้มาสถานที่ที่บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้... พอพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าทั้งคู่ก็หามุมถ่ายรูปทันที จากเดิมที่ถ่ายไปเยอะมากแล้วแต่พอท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้าไปสู่สีส้มบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คู่รักหลายคู่เริ่มออกแบบท่าทางและหามุมที่จะทำให้รูปถ่ายของพวกเขาโรแมนติกที่สุด อาโปและศิลาเองก็เช่นกันแต่ก็คงไม่ได้โพสท์ท่าทางใหญ่โตอะไรจนดูเอิกเกริกมากนัก เนื่องด้วยการที่เขาเป็นคู่รักเพศเดียวกันมันก็ดูจะสะดุดตาคนทั่วไปอยู่ประมาณหนึ่งแล้ว เขาไม่อยากจะให้ถูกจับตามองมากไปกว่าเดิมอีก เขาทั้งคู่จึงเลือกหามุมที่พอจะยังว่างอยู่แล้วหันหลังให้ท้องฟ้าเพื่อถ่ายเซลฟี่คู่กันแบบเรียบง่ายเท่านั้น และแน่นอนว่ามาถึงคาเฟ่ตกหมึกทั้งทีศิลาและอาโปก็ไม่ปล่อยให้เสียเที่ยว เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลงปรากฏดวงจันทร์และดวงดาวแจ่มชัด กิจกรรมตกหมึกก็เริ่มต้นขึ้น ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่พักใหญ่หลังจากได้คันเบ็ดสำหรับตกหมึกมาไว้ในมือ เรียนรู้จากสิ่งที่พนักงานสอนแต่ก็ใช้เวลาอยู่นานโขกว่าจะได้หมึกขึ้นมากินสักตัว แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพียงแค่อยากสนุกกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำเท่านั้น “หมึกสดนี่อร่อยจังครับ” ศิลาพูดหลังจากใช้ตะเกียบคีบกินเข้าไปหนึ่งชิ้น “เอาอีกแล้วนะ ระวังหน่อยสิครับ หนูแพ้อาหารทะเลนะ” อาโปดุพลางหยิบจานหมึกออกไปไว้อีกทาง “ลองชิมเฉยๆ เองครับ ไม่ได้กินบ่อยๆ ซะหน่อยครับ ยาแก้แพ้ก็มีแล้ว ไม่ต้องกังวลนะครับพี่โป” “พี่เป็นห่วงนี่นา” “ขอบคุณนะครับ” ยิ้มแป้นจากศิลาช่วยบรรเทาอาการเป็นห่วงของคนตัวโตไปได้บ้าง “แล้วนี่เราจะกลับกันยังครับ เริ่มดึกแล้วนะ” “กลับเลยก็ได้ครับ จะได้ไปอาบน้ำพักผ่อน อยู่กลางทะเลนานๆ ผมรู้สึกเหนียวตัวเหมือนกันครับ” ศิลาบอกพลางเอามือลูบไล้ไปตามแขน “งั้นกลับเลยเนอะ” “ครับ” ถุงขนมและของทอดที่ทั้งคู่แวะซื้อที่ริมทางก่อนจะเข้าคอนโดถูกวางลงบนโต๊ะหน้าทีวีก่อนที่ทั้งคู่จะทิ้งตัวลงบนโซฟา จากนั้นแขนยาวของอาโปก็ยกขึ้นไปโอบรอบเอวของคนตัวบางที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วออกแรงดึงให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาชิดตัวเอง “พี่มีความสุขจังวันนี้” “ผมก็ด้วยครับ” “นานละเนอะที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวด้วยกัน ยุ่งแต่กับงานตลอดเลย ได้ออกมาพักแบบไม่ต้องคิดเรื่องงานบ้างก็ดีเหมือนกัน” อาโปเอ่ยพูดพลางเอาหัวซบลงตรงไหล่ของศิลาแล้วไถไปมาเบาๆ “ทำไมอ้อนจังครับวันนี้” ศิลาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ก็แค่...คิดถึงเมื่อก่อนตอนที่เราเคยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ครับ” “ตอนนี้โดนงานขโมยเวลาไปหมดเลย ฮ่าๆๆ” ศิลาพูดติดตลกแต่ก็ทำอีกฝ่ายเผยยิ้มออกมาได้ อาโปผละออกจากการซบไหล่นั้นมานั่งอยู่ในท่าปกติก่อนจะหันมองหน้าศิลาแล้วคว้ามือบางของคนตรงหน้ามากุมไว้ “จริงๆ ตอนแรกพี่แพลนว่าจะทำเพลงเป็นของตัวเอง เพราะอยากออกซิงเกิ้ลเพื่อเป็นของขวัญให้หนู แต่ก็ต้องพับเก็บไปก่อนเพราะต้องมาทำของนาโน” สีหน้าเสียดายของอาโปถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรอได้ แค่ได้ยินพี่โปบอกแบบนี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ” ศิลาออกแรงกุมมืออาโปแน่นขึ้นกว่าเดิม “ตอนนี้ทำงานที่ต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุดดีกว่าครับ” อาโปพยักหน้ารับก่อนความเงียบจะเริ่มทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์ของความโรแมนติก บรรยากาศคอนโดติดทะเลที่มองผ่านหน้าต่างบานกระจกออกไปแล้วเห็นวิวทะเลชัดเจนนี่มันสร้างความเสน่หาให้กับคนทั้งคู่ได้ไม่ยากนัก ไฟในห้องนั่งเล่นถูกปิดลงมีเพียงแสงไฟสลัวจากในห้องน้ำส่องออกมาให้ดวงตาทั้งสองได้มองเห็นกันลางๆ การที่ต้องทำแบบนี้เพราะพวกเขาเองก็ต้องป้องกันว่าอาจจะมีสายตาจากคนภายนอกมองเข้ามาแล้วเห็นเวลาเขาพลอดรักกันได้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะปิดผ้าม่านเพราะวิวทะเลนั้นขับเคลื่อนอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี บทเพลงรักดำเนินไปท่ามกลางกระแสคลื่นที่ซัดสาดและแรงลมที่โชยอ่อนอยู่ด้านนอกตลอดเวลา เสียงคลื่นกระทบเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหวของอาโป ส่วนศิลาก็ตอบรับสัมผัสนั้นได้พลิ้วไหวราวกับตอนที่สายลมพัดมาสัมผัสผิวกายของพวกเขา ความเงียบสงัดในค่ำคืนที่สุดแสนโรแมนติกนี้ทำให้เสียงผิวหนังที่เสียดสีและกระทบกันดังชัดขึ้นมาแบบเลี่ยงไม่ได้ แสงไฟสลัวและกลิ่นเครื่องหอมเรียกเอาธาตุไฟในร่างกายของทั้งอาโปและศิลาลุกโชติช่วงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้วตั้งแต่ทำงานที่สตูดิโอมา สีหน้าแห่งความสุขของทั้งสองฝ่ายฉายชัดตลอดระยะเวลาแห่งความรื่นเริงนั้น เสียงร้องฉลองความบันเทิงดังขึ้นอย่างไม่อาจบังคับได้เมื่อคนทั้งคู่มาถึงจุดหมายอย่างที่ใจนึก เสียงหอบหายใจดังถี่เป็นระยะก่อนจะค่อยๆ บรรเทาลง ความเงียบก่อเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ของคนทั้งคู่ อาโปกอดศิลาจากทางด้านหลังก่อนประพรมจูบไปยังบริเวณต้นคอของอีกฝ่าย ศิลายิ้มรับแล้วเคลื่อนมือของตัวเองไปจับมือทั้งสองข้างของอาโปที่กำลังกอดตัวเองอยู่ “วันนี้พี่โปเก่งจัง” ศิลาเอ่ยพูดแบบอายๆ “เก่งอะไร ก็ทำเหมือนเดิม” “แต่วันนี้ผมรู้สึกดีกว่าที่ผ่านๆ มาเลย” “อาจเพราะไม่มีเรื่องให้เครียด” “คงงั้นครับ” “พี่รักหนูนะ” “ผมก็รักพี่มากครับ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD