ตอนที่ 3

3385 Words
ภายในห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีสตรีนางหนึ่งในมือถือไหสุราดอกท้อกำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกริมหน้าต่าง แสงจันทร์ส่องสะท้อนกระทบใบหน้างามแต่แฝงไปด้วยความหมองหม่น ไหสุราใบเขื่องต่างก็ล้มระเนระนาดเรียงรายอยู่เต็มพื้น ใบหน้างดงามบัดนี้แดงซ่านด้วยพิษของสุรา แม้ว่าหญิงสาวจะหลงเหลือสติเพียงน้อยนิด แต่นางก็ยังคงไม่ลืมเลือนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น “หรูเจียวเจียน เหตุใดข้าไม่อาจลบลืมความงามของเจ้าได้ นับจากวันนั้นที่ข้าพบเจ้า เจ้าจะรู้หรือไม่ว่าข้าหลงใหลเจ้ามากเพียงใด ข้าคิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน...หรูเจียวเจียน...โฉมงามของข้า...” แม้ปากของหวังเยว่ซินจะพร่ำเพ้อถึงหญิงสาวที่นางเสน่หา แต่ลึกๆ แล้วภายในใจจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่านางปวดร้าวมากแค่ไหน เนื่องจาก...คืนก่อนหวังหลวนซานบังเอิญเดินผ่านมาเห็นบุตรสาวตัวดีของตนแต่งตัวเป็นบุรุษ กำลังจะแอบปีน กำแพงหนีออกจากบ้าน ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะข่าวลื่อเรื่องเจ้าบ่าวหนีงานแต่งของนางพึ่งจะเงียบหายไป เขาเลยกลัวว่าบุตรสาวตัวดีจะแอบไปก่อเรื่องขึ้นอีก เลยออกคำสั่งกักบริเวณนางให้อยู่แต่ในเรือนชั่วคราว หากนางกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เขาจะตัดความสัมพันธ์ความเป็นพ่อลูกกับนางทันที สิ้นคำประกาศิตของผู้เป็นบิดา ทำให้หวังเยว่ซินหมดความอดทนกับความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนหน้านี้ นางแค่อยากจะหนีความรู้สึกที่ถูกคนที่ตนรักทรยศหักหลัง นางแค่อยากออกไปข้างนอกเพื่อหาทางที่จะลืมเลือนเรื่องราวที่ตนเพิ่งได้รับรู้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วจริงๆ นัยน์ตาใสกระจ่างของนางกลายเป็นสีแดง หยาดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินลงมา เยว่ซินค่อยๆ ปาดมันทิ้งอย่างรวดร้าวพลางยกไหใบเขื่องเทน้ำใสๆ ลงไปในปากอย่างรวดเร็ว     “คุณหนู หยุดดื่มเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิททนดูสภาพอันน่าเวทนาของผู้เป็นนายไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้าของเสี่ยวผิงเต็มไปด้วยความกังวลใจ ด้วยเพราะคุณหนูของนางเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง และดื่มสุราอยู่แบบนี้มาหลายวันแล้ว “ท่านมีสติบ้างเถอะ อย่ามัวแต่ทำร้ายตัวเองเช่นนี้เลย ถ้าหากท่านอยากไปเจอแม่นางผู้นั้นมากนัก ข้ายังพอมีวิธีที่จะช่วยท่านอยู่บ้าง แต่ตอนนี้คุณหนูหยุดดื่มก่อนได้หรือไม่”   หวังเยว่ซินแค่นยิ้ม พลางจ้องมองสาวใช้ตรงหน้าด้วยแววตาหมองหม่น “เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ? เวรยามหนา แน่นถึงเพียงนั้น แม้แต่ยุงสักตัวก็ยังไม่สามารถบินเข้ามาได้ นับประสาอะไรกับให้ข้าหนีออกไป คำพูดของเจ้านี่ช่างน่าขัน สิ้นดี”  ตลอดชีวิตของหวังเยว่ซิน หญิงสาวคิดมาตลอดว่าท่านพ่อของนางรักและตามใจนางทุกอย่าง  แม้แต่พฤติกรรมที่นอกลู่นอกทางของนาง ผู้เป็นบิดายังพยายามปิดหูปิดตาไม่เคยตำหนิตีเตียนนางเลยสักครา แต่ในตอนนี้เป็นตัวนางเองที่คิดผิดมาโดยตลอด เป็นตัวนางเองที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกด้านซ้ายนี่มันคืออะไรกัน ราวกับว่าหัวใจของหญิงสาวในตอนนี้มีมีดแหลมคมปักอยู่ที่ กลางใจ  ความเศร้าอาดูรค่อยๆ ถามโถมเข้ามาในอกข้างซ้าย  ทำให้เถาจือเริ่มรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างนี้กันแน่  จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่ามีน้ำใสๆ คลอบริเวณหางตาคล้ายกับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างของตนได้ หรือว่าจะเป็นจิตวิญญาณอีกหนึ่งส่วนของหวังเยว่ซิน? ถึงทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจแบบนี้ เมื่อสองคืนก่อน หญิงสาวแอบไปขโมยสุราดอกกุ้ยฮวาร้อยปีของบิดาที่แอบซ่อนไว้ใต้เตียงนอน ในขณะที่นางกำลังจะคลานออกมาจากใต้เตียงอย่างสบายใจ กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยสองเสียงกำลังสนทนากัน ภายในห้องหนังสือที่ติดกับห้องนอนของบิดา เสียงใสๆของเสี่ยวผิงเอ่ยถามขึ้น ‘นายท่านเจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นโจรเด็ดบุปผาที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนี้’ ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไร...หรือว่าเจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใดรึ?’ ‘หากข้าบอกว่าเป็นคุณหนู ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่เจ้าค่ะ’ หญิงสาวพูดขึ้นอย่างใจกล้า ‘บังอาจ! เจ้ากล้าใส่ร้ายลูกสาวของข้ารึ?’ พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว เสี่ยวผิงพูดเสียงสั่นพลางคุกเข่าขอร้องผู้เป็นนาย ‘ข้ามิกล้าเจ้าค่ะนายท่าน...ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยทรยศหักหลังท่าน  เพื่อให้นางไว้ใจในตัวบ่าว ท่านเองไม่ใช่หรือที่ใช้ให้ข้าไปเป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนูตั้งแต่เล็ก มีหรือข้าจะกล้า โกหกนายท่านได้ลงคอ’ ‘ที่เจ้าพูด...มันคือเรื่องจริงรึ?’ หญิงสาวตอบด้วยเสียงสั่น ‘เจ้า...ค่ะ’ ฝ่ามืออวบอูมของหวังหลวนซานตบลงที่โต๊ะอย่างบันดาลโทสะ ปัง! ‘สารเลว!’ ดวงตาเรียวคมของหวังหลวนซานคุกรุ่นไปด้วยเพลิงโทสะ พลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ‘พูดมาให้หมด...ว่านางสร้างเรื่องอันใดไว้บ้าง”   เสี่ยวผิงตอบด้วยเสียงสั่นเครือ ‘เจ้า...ค่ะ’ ร่างแน่งน้อยของหญิงสาวพยายามสะกดกลั้นความกลัว ใน ขณะเดียวกันก็พยายามเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ‘ถึงคุณหนูจะปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อแอบเชยชมหญิงงาม แต่นางหาได้กระทำผิดจารีตไม่ คุณหนูเพียงแค่หาเพื่อนร่ำสุราเคล้าแสงจันทร์ ตามนิสัยของนางที่ชื่นชอบสตรีรูปงามเพียงเท่านั้น แต่หากความงามเหนือบุรุษของนางเป็นเหตุ ทำให้สตรีหน้าเหม็นพวกนั้นต่างพากันลุ่มหลง และแอบรวมตัวกันไปแจ้งทางการประกาศจับคุณหนูให้มารับผิดชอบความบริสุทธิ์ของพวกนาง  เรื่องนี้ทำให้คุณหนูปวดหัวอยู่หลายวัน ก่อนที่นางจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หอจันทร์คะนึงและก็....’ ราวกับอสนีบาตฟาดลงมากลางใจ เยว่ซินไม่คาดคิดเลยว่า สาวใช้คนสนิทเพียงคนเดียวของนางจะกล้าหักหลังนางได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้ ต่อไปนี้นางยังจะเชื่อใจผู้ใดได้อีก การโดนทรยศหักหลังมันรู้สึกแบบนี้เองหรือ เถาจือได้แต่ถามคำถามนี้อยู่ภายในใจ “คุณหนูเจ้าคะ ยังฟังข้าอยู่หรือไม่?” เสี่ยวผิงพูดด้วยความกังวลใจหลังจากเห็นผู้เป็นนายนั่งเหม่อมานาน นางเรียกก็ยังไม่ได้ยิน “อืม เจ้าว่ามาต่อสิ” “อีกสามวันนายท่านจะออกไปไหว้พระที่นอกเมือง ข้าเลยคิดว่าเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้ออกไปหาแม่นางหรูเจียวเจียน...ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” หวังเยว่ซินพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “อย่างนั้นรึ?” จะว่าไปแล้วการที่เสี่ยวผิงเลือกที่จะหักหลังนางนั้น หญิงสาวก็พอจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง ตลอดหลายปีที่ผ่าน มา ท่านพ่อไม่ค่อยมีเวลาว่างที่จะอยู่เคียงข้างกายนางเลยสักครั้ง หากไม่มีเสี่ยวผิงมาอยู่รับใช้และคอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับนางจวบจนถึงตอนนี้ นางก็ยังคงคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตของตนในตอนนี้จะเป็นเช่นไร      “เจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงขานรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม  นัยน์ตาสีดำมองสาวใช้ข้างกายด้วยความรู้สึกหมองหม่น “เสี่ยวผิง  เจ้ารู้หรือไม่ว่าการโดนทรยศหักหลังมันเจ็บปวดเพียงใด”    เสียวผิงมองหน้าผู้เป็นนายอย่างเป็นกังวล “คุณหนู...ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”    “ข้าคงเมาแล้วล่ะ เจ้าไปนอนเถอะ” นางจ้องมองเสี่ยวผิงอีกครั้งด้วยความรู้สึกยากที่จะบรรยาย  ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า   “เจ้าค่ะ”  หญิงสาวมองร่างบอบบางที่นอนหลับอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นกังวล เหตุใดวันนี้คุณหนูถึงดูเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะนางทำสิ่งใดให้คุณหนูไม่พอใจอย่างนั้นหรือ เสี่ยวผิงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนที่จะเดินจากไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องอย่างเบามือ เมื่อมั่นใจว่าเสี่ยวผิงเดินไปไกลแล้ว หวังเยว่ซินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะย้ายร่างของตนไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ข้างๆ เตียงนอน หญิงสาวก็ค่อยๆ บรรจงข้อความลงไปในกระดาษสีขาว ‘ถึงท่านพ่อ...ข้าทราบดีว่าท่านรักและเป็นห่วงข้ามากแค่ไหน ลูกอกตัญญูยิ่งนัก ที่ทำให้ท่านต้องพลอยลำบากเพราะข้าอยู่เสมอ จากกันครั้งนี้ลูกหวังว่าท่านพ่อจะดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้เป็นห่วงลูกอกตัญญูคนนี้อีกเลย เมื่อถึงเวลาข้าจะกลับมาท่าน...รักท่านพ่อเสมอ..                                                                                          หวังเยว่ซิน...’ ดวงอาทิตย์สาดส่องร้อนแรงทั่วเมืองหลวง แสงสุริยันสาดแสงรุนแรงอย่างเจิดจ้า ล่วงเข้าฤาดูคิมหันต์อันร้อน ระอุ ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างเหงื่อไหลไคลย้อยกันถ้วนหน้า  ทว่าแม้อากาศจะร้อนสักเพียงใด ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็ยังคงล้อมวงมุงดูป้ายประกาศจับของทางการ โดยที่ไม่มีใคร สนใจแสงแดดที่คอยแผดเผาผิวกายแม้แต่น้อย แม้ว่าบนกำแพงจะมีประกาศจับทั้งเก่าและใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประกาศจับชายชู้ของฮูหยินนายอำเภอ แม้แต่ประกาศจับชายโฉดฉุดหญิงม่ายนอกเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งประกาศจับหญิงสาวแม่ลูกอ่อนทิ้งสามีและบุตรหนีตามชายชู้ไป ล้วนไม่อาจดึงดูดความสนใจของเหล่าสตรีหญิงม่ายสามีตาย หรือแม้กระทั่งดรุณีแน่งน้อยวัยห้าขวบ รวมถึงเหล่ากลุ่มคนทั้งหลายที่มุงดูประกาศจับใบนี้ สายตาทุกคู่ไม่อาจละสายตาไปจากภาพวาดชายงามแผ่นนี้ไปได้เลย ภายในประกาศเขียนไว้ว่า ‘เวลานี้โจรราคะช่างกำเริบเสิบสาน เที่ยวทำลายชื่อเสียงของเหล่าสตรียังไม่พอ หมายเด็ดบุปผาหญิงคณิกา ชั่วช้าสามานย์ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เหล่าอิสตรีต่างตรอมตรมรีบร้องทุกข์หมายจะพบหน้าสักครา ขอเพียงโจรชั่วยอมจำนนมอบตัว พวกนางยินดีถอนฟ้องในทันที’  ผู้คนที่มุงดูพากันจ้องประกาศจับใบนี้อย่างงวยงง ต่างพากันซุบซิบนินทา บ้างก็ชี้นิ้วให้ผู้อื่นดูประกาศแผ่นนี้ ผู้คนที่มุงดูต่างก็ถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ   “ดูคนผู้นี้สิ หน้าตาก็รูปงามเหนือบุรุษ เหตุใดจึงทำตัวเลวทรามเยี่ยงคนถ่อย” หญิงวัยกลางคนพูดพลางส่ายหน้า “หากข้าหน้าตารูปงามเช่นนี้ เพียงแค่กระดิกนิ้ว คร้านสตรีเหล่านั้นจะไม่เหยียบกันตายเพื่อเสนอตัวมาให้ข้าหรอกรึ?” ชายแบกฟืนพูดพลางเช็ดน้ำลายไปพลาง “หากเป็นข้า ไม่ต้องเสียแรงกระดิกนิ้วเช่นเจ้าหรอก แค่มองหน้าข้าสตรีเหล่านั้นก็พร่ำเพ้อจนเก็บเอาข้าไปผัน ข้าวปลาไม่ยอมกินเป็นแน่” พ่อค้าขายปลาพูดอย่างใจลอย  “ข้าว่าเรื่องนี้มันดูแปลกๆ เจ้าว่าไหม” ผู้คนต่างชะงักเงียบพลางเงี่ยหูฟัง กลัวจะพลาดข่าวเด็ด “ทำไมสตรีพวกนั้นถึงอยากจะพบหน้าโจรชั่วช้าผู้นั้น จนถึงขั้นรวมตัวกันมาแจ้งทางการ ข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำเป็นแน่” บัณทิตชุดขาวกล่าว “ใช่ๆ ข้าก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน เกรงว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบซ่อน ซุกซ่อน ปกปิด ปิดบัง อำพราง ซ่อนเร้น แอบแฝง แฝงกาย ซ่องสุมกันเป็นแน่” พ่อค้าขายปลาคนเดิมพูดอย่างมั่นใจ ผัวะ! กำปั่นหนักๆ ของผู้คนที่มุงดูประกาศต่างประเคนใส่พ่อค้าขายปลาคนเดิม ประเดิมกระหม่อมกันอย่างถ้วนหน้า โทษฐานพูดจาเปรอะเปื้อนไม่รู้เวล่ำเวลา ขณะที่ผู้คนกำลังรุมประเคนฝ่ามืออรหันต์ใส่พ่อค้าขายปลาคนเดิมอยู่นั้น เสียงฝีเท้าอาชาก็เคลื่อนจากที่ไกลเข้า มาใกล้ขึ้นทุกที เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงเหล่าฝูงชนที่อยู่ตรงหน้า เพียงอาชาไนยสีดำตัวใหญ่ยกเท้าหน้าขึ้นสูง ส่งเสียงดังร้องฮี้! จนผู้คนต่างพากันปวดหู คนที่ควบขี่หลังอาชาก็กระชากบังเ**ยนลง อาชาไนยตัวใหญ่หยุดเท้าอย่างว่าง่าย บุรุษผู้นั้นก้าวกระโดดลงจากหลังม้าอย่างช้าๆ ดวงหน้าสง่างามแฝงด้วยความเย็นชา แววตาอัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคืองชวนให้คนมองต่างรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กลุ่มผู้คนต่างรวมตัวกันถอยหลังกรูไปสิบก้าวอย่างพร้อมเพียงกัน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้พวกเขาฝืนเท้าอยู่ต่อ มองดูบุรุษผู้นั้นมองไปยังป้ายประกาศ สองตาของเว่ยเฟยหลิงจ้องเขม็งไปที่ภาพใบนั้น ก่อนจะจดจำรายละเอียดของชายในภาพอย่างขึ้นใจ ถ้าหากเขาไม่ละเลยหน้าที่แอบหนีไปอยู่นอกเมือง บางทีโจรผู้นี้คงไม่เหิมเกริมชั่วช้าทำลายชื่อเสียงของสตรีได้มากถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มเอื้อมมื้อไปฉีกประกาศจับแผ่นนั้นลงมาจากกำแพง แล้วก้าวกระโดดคร่อมหลังม้ามุ่งหน้ากลับจวนอย่างรวดเร็ว แสงจันทร์แผ่สะท้อนกระทบกิ่งไผ่ โคมไฟน้อยใหญ่ต่างก็ถูกจุดขึ้นทั่วเมืองหลวง บนถนนสายเริงรมย์ใจกลาง เมืองหลวงเป็นสถานหนึ่งที่ครึกครื้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ต่างมาแสวงหาความสุขที่ถนนสายโลกีย์แห่งนี้  ภายในเมืองหลวงถูกแบ่งเป็นหลายเขต แต่ย่านถนนสายเริงรมย์แห่งนี้กลับเป็นย่านที่ทำเงินให้กับเมืองหลวง อย่างมหาศาล และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นย่านที่ละลายเงินทองของบุรุษที่มาหาความสำราญด้วยเช่นกัน    บนถนนสายนี้ต่างถูกประดับดาด้วยโคมไฟหลากสีละลานตา หอนางโลมทั่วทุกแห่งในตรอกซอกซอยแห่งนี้ ต่างก็แข่งขันกันดึงดูดลูกค้าด้วยการประดับประดาผ้าแพรไหมสีสันฉูดฉาดตา โฉมสะคราญทั้งหลายต่างก็พากันสะบัดแขนเสื้อไปมาเพื่อเชิญชวนแขกเหรื่อด้วยเสียงเจียวแจ้ว และหากจะกล่าวถึงหอโคมเขียวที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักหอจันทร์คะนึง ซึ่งเป็นโรงคณิกาที่รวบรวมเหล่าหญิงงามอันดับหนึ่งไว้ในสถานที่แห่งนี้ และในตอนนี้คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักโฉมสะคราญที่มีนามว่า ‘หรูเจียวเจียน’         ชื่อเสียงของนางโด่งดังไปทั่วหล้าค่า ตัวสูงลิ่วนับพันตำลึง ชาวบ้านต่างต่างเล่าลือกันว่า หมื่นบุปผายังเหี่ยวเฉาเมื่อนางต้องสัมผัส หมู่มัจฉายังจมวารีเมื่อนางส่งยิ้มให้ เหล่าปักษายังต้องปีกหักเมื่อนางทอดถอนใจ ดวงจันทรายังร่ำไห้เมื่อพบพานหญิงงาม   เรือนส่องนภา เป็นเรือนส่วนตัวของหญิงงามหรูเจียวเจียน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในสุดของหอจันทร์คะนึง ไม่เพียงเงียบสงบ สะอาดตา แถมยังงดงามหรูหรามากกว่าเรือนหลังอื่นในหอจันทร์คะนึง  สิ่งของเครื่องใช้ภายในเรือนแต่ละชิ้น ต่างก็เป็นสิ่งของของล้ำค่ามีราคา หญิงสาวล้วนได้มาจากเหล่าแขกสูงศักดิ์ผู้ร่ำรวยเงินทองที่มาติดพันนางทั้งสิ้น   หากทว่าร่างบอบบางที่แฝงกายอยู่ใต้เตียงกลับฉายแววกังวลใจ หญิงสาวพยายามที่จะเงี่ยหูฟังเสียงความ เคลื่อนไหวภายในห้อง จิตใจเริ่มกระวนกระวายไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากที่นางทราบข่าวว่าแม่เล้าซูเม่ยบีบบังคับหรูเจียวเจียนให้ขายราตรีแรกในค่ำคืนนี้ ยิ่งทำให้นางรู้สึกพะว้าพะวงใจยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะสมองอันชาญฉลาดของนาง คิดแผนการอันแยบยลนี้ขึ้นมาได้ทันเวลา ป่านนี้นางคงอกแตกตายไปนานแล้ว   ร่างบอบบางแอบเฝ้าดูสถานการณ์ภายในห้องอย่างเงียบๆ รอคอยให้เหยื่อมาติดกับตามแผนบุรุษช่วยหญิงงามอย่างที่ตนวางแผนไว้ แล้วถือโอกาสนี้สร้างความประทับใจหญิงงามให้ซาบซึ้งในน้ำใจตน แค่คิดดวงตาเรียวเล็กก็เกิดแสงเปล่งประกายอย่างมีความหวัง   เมื่อถึงเวลา ผู้คนมากมายต่างก็หลั่งไหลแวะเวียนเข้ามาที่หอจันทร์คะนึงมากกว่าปกติหลายเท่าตัว เนื่องจากค่ำคืนนี้เป็นการประมูลพรหมจรรย์คืนแรกของสาวงาม จึงไม่มีผู้ใดพลาดโอกาสที่จะได้มาเชยชมหญิงงาม    ในบรรดาบุรุษที่เข้ามาในงาน มีบางคนที่หวังมาชื่นชมยลโฉมหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง บ้างก็อยากมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประมูลราตรีแรกของโฉมสะคราญ   ค่ำคืนนี้หรูเจียวเจียนสวมผ้าไหมสีขาวบาง ขับเน้นให้เห็นผิวพรรณที่ขาวละเอียดดุจหยกเนื้อดี เมื่อชุดสีขาวมา อยู่ในเรือนร่างของโฉมสะคราญ ยิ่งทวีความงดงามหยาดเยิ้มเหนือธรรมชาติมากยิ่งขึ้น หญิงสาวงามจนแขกเหรื่อภายในงานไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่เย้ายวนชวนกระชากวิญญาณนี้ได้เลย    “คุณชายทุกท่านดูสิ...หรูเจียวเจียนของพวกเรามาแล้ว” เสียงหวานใสอย่างมีจริตจะก้านของแม่เล้าซูเม่ยเอ่ยขึ้น สายตาทุกคู่ภายในงานต่างมองมาที่หญิงงามเป็นสายตาเดียวกัน ผู้คนภายในงานต่างก็ตบมือชอบใจ บาง คนก็โห่ร้องตะโกนเรียกชื่อ ‘หรูเจียวเจียน’ ไม่ขาดสาย ในขณะที่ทุกคนให้ความสนใจไปที่หญิงงามบนแท่นยกสูง มีบุรุษชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนภายในงาน ชายหนุ่มลอบสังเกตการณ์ภายในงานอยากเงียบๆ หากเขาคาดการณ์ไม่ผิด ค่ำคืนนี้โจรชั่วผู้นั้นจะต้องหาทางลงมือช่วง ชิงหญิงงามมาครอบครองเป็นแน่  จากที่เขาพยายามสืบหาเบาะแสของโจรเด็ดบุปผาราวครึ่งเดือน รวมถึงข่าววงในจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทุกคน เขาก็มั่นใจถึงแปดส่วนว่าโจรเด็ดบุปผาผู้นี้...หมายตาคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอจันทร์คะนึงเป็นแน่ ด้วยนิสัยที่ชมชอบหญิงงาม รวมถึงองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทำให้เขาพุ่งเป้ามาที่หญิงงามที่มีนามว่า’หรูเจียวเจียน’ อย่างไม่ต้องสงสัย นัยน์ตาสีนิลแอบประเมินหญิงงามอยู่เงียบๆ “เรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้วเจ้านะค่ะ ราตรีแรกของลูกเจียนเอ๋อร์ของข้า เริ่มต้นที่ หนึ่งร้อยตำลังเจ้าค่ะ” เสียงแม่เล้าซูเม่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา สิ้นเสียงประกาศ บรรยากาศรอบด้านภายในงานก็เริ่มคึกคักขึ้นมาในทันที เฒ่าแก่ร้านขายผ้าเอ่ยขึ้น “ข้าให้ห้าร้อยตำลึง” “ข้าให้หนึ่งพันตำลึง” เฒ่าแก่ร้านขายยาเสนอตัดราคา “ข้าให้ห้าพันตำลึง” คหบดีฝูผู้ร่ำรวยเอ่ยขึ้นอย่างลำพองใจ เสียงชายปริศนาผู้หนึ่งที่สวมหมวกดำคลุมหน้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายภายในงาน “หนึ่งร้อยตำลึงทอง”    เสียงฮือฮาดังกึกก้องขึ้นทั่วทั้งห้องโถง สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่ชายปริศนาอย่างตกตะลึง ด้วยจำนวนเงินที่มีค่า ควรเมือง  ทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบเหงาลงทันที แม่เล้าซูเม่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เป็นอันว่าค่ำคืนแรกของหรูเจียวเจียน ตกเป็นของคุณชายท่านนี้แล้วนะเจ้าค่ะ” สิ้นคำประกาศของแม่เล้าซูเม่ย บุรุษภายในงานต่างก็ทอดถอนใจ ใบหน้าของผู้คนต่างก็แสดงออกถึงความเสียดายอย่างปิดไม่มิด ด้วยเพราะไม่อาจสู้ราคาค่าตัวของหญิงงามได้  บรรดาแขกเหรื่อจึงพากันเดินกลับด้วยอาการคอตกกันถ้วนหน้า ด้วยเหตุนี้ หญิงงามที่มีนามว่า ‘หรูเจียวเจียน’ จึงเป็นหญิงคณิกาที่ครองตำแหน่งโฉมสะคราญค่าตัวแพงอันดับหนึ่งในเมืองหลวงโดยปริยาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD