“กั้ง!” แอนเขย่าแขนเพื่อนจนข้าวในช้อนกระฉอกออก
“อะไร” หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนคนที่กำลังตื่นเต้นสุดขีด พลางดึงมือเพื่อนออกเพราะไม่เช่นนั้นข้าวคงหกกระจายไปทั่ว
“ผู้ชายคนนั้นไง นั่นๆ”
กังสดาลเงยหน้าขึ้นมองตรงไปขณะที่เพื่อนอีกสองคนหันขวับไปทางชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ ทั้งรูปร่าง หน้าตา และท่วงท่าการย่างก้าวดึงดูดสายตาของสาวๆ ในบริเวณนั้นไปยังเขาเป็นจุดเดียว กระทั่งก่อนถึงโต๊ะที่กังสดาลและเพื่อนนั่งห่างออกไปสองช่วงโต๊ะ เขาก็หยุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่ยังว่าง
กังสดาลหันกลับมามองแอนแล้วหัวเราะเบาๆ หล่อนนึกหน้าของเขาออกแล้ว ฝ่ายนั้นคือผู้ชายที่ตนเดินชนเมื่อหลายวันก่อน แต่เอ๊ะ ทำไมเจอกันที่นี่อีก
“เขาทำงานที่นี่หรือเปล่า” กังสดาลเปรยขณะตักข้าวใส่ปากเคี้ยวเบาๆ
“นั่นสิ อาจทำงานตึกเดียวกับพวกเรา ว่าแต่บริษัทอะไรล่ะ” แอนเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคนที่เป็นไปด้วย
“ต้องสืบเลยนะ โอ๊ย โลกกลมจริงๆ แบบนี้เรียกว่าพรหมลิขิตชัดๆ เนอะกั้งเนอะ” แอนร้องบอก นัยน์ตาพราวพร่างสดใส ทำให้หญิงสาวหัวเราะเพื่อนออกมาด้วยความขบขัน แต่จะว่าไป ผู้ชายคนนั้นก็รูปร่างหน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ จึงไม่ผิดที่แอน หยาดและกุ๊กจะตื่นเต้นเมื่อได้พบเขาอีกครั้ง
ภามพิชญ์ รู้สึกได้ว่ามีคนมองเขาอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ก็เกิดอาการชะงักลงเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็ส่งยิ้มให้คนที่โต๊ะถัดไป สาวๆ ทั้งสามส่งยิ้มให้ชายหนุ่มแทบจะทันทีเช่นกัน มีเพียงกังสดาลเท่านั้นที่มองเพื่อนทั้งสามด้วยสายตาขบขัน ก่อนมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นและรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มที่เขาส่งตรงมา คล้ายกับว่าเขาตั้งใจยิ้มให้หล่อนโดยเฉพาะ
“กั้ง เขายิ้มให้แกแหละ” เพื่อนสามคนหันมามองกังสดาลเป็นตาเดียว หญิงสาวทำหน้าเหลอหลาก่อนจะยิ้มบาง...
“รีบกินเหอะ เที่ยงครึ่งแล้วนะ ฉันอยากพักสายตาสักสิบนาทีก่อนเข้างาน” กังสดาลบอก ทำให้ทั้งสามส่งเสียงโอดครวญเบาๆ
เมื่อทั้งหมดรับประทานอาหารอิ่มจึงเตรียมตัวกลับเข้าอาคาร ขณะนั้นเองมีเสียงนุ่มๆ ของผู้ชายเอ่ยทักมาจากด้านหลัง
“สวัสดีครับ”
สาวๆ ทั้งสี่หันไปตามเสียง พอเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มหวานเรี่ยราดออกไปทันที ภามพิชญ์ยิ้มตอบสาวๆ ทั้งสามขณะสบตากังสดาลพร้อมรอยยิ้มที่บอกว่าเขาจำหล่อนได้
“คุณจำผมได้ไหม เราเคยเจอกันที่หน้าร้านกาแฟ”
หญิงสาวยิ้มตอบชายหนุ่มพร้อมพยักหน้าเบาๆ
“จำได้ค่ะ วันนั้นฉันเดินชนคุณที่หน้าร้าน”
รอยยิ้มละมุนบนดวงหน้าหวานของกังสดาลทำให้ภามพิชญ์รู้สึกอบอุ่นในใจ ใบหน้าของหล่อนคล้ายกับใบหน้าของใครบางคนในอดีตที่เขาเคยรู้สึกดีด้วย เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ใครคนนั้นก็จากไป...
ดวงหน้าหวานที่แต้มเครื่องสำอางเพียงบางเบาทำให้เขายิ่งรู้สึกดี เขาไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด และชอบผู้หญิงตัวเล็ก หล่อนเองก็ตัวเล็ก เขาชอบผู้หญิงผมยาว หล่อนเองก็ผมยาว โดยเฉพาะรอยยิ้มสดใสทำให้ดวงตากลมโตของหล่อนยิบหยีลงทันทีที่ยิ้มออกมา ผู้หญิงตรงหน้า เป็นในแบบที่เขาชอบทุกอย่าง...
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแหร่มเบาๆ จากสาวๆ อีกสามคนทำให้ภามพิชญ์กะพริบตาอย่างรู้สึกตัว เขายกมือขึ้นถูต้นคอ รู้สึกเขินนิดๆ ที่มองหล่อนนานเกินไปจนถูกแซว
เช่นเดียวกับกังสดาลที่ต้องข่มกลั้นเสียงหัวเราะจนแก้มแดงเรื่อ
“คุณทำงานอยู่ที่ตึกนี้หรือคะ”
“ครับ ผมทำอยู่บริษัท...” เขาบอกชื่อบริษัท งานของเขาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ อยู่คนละชั้นกับหล่อนและอยู่สูงขึ้นไปอีกสองชั้น
“พวกเราทำอยู่ที่เคเคเอชค่ะ ลืมแนะนำตัว ฉันชื่อกังสดาล เรียกว่ากั้งก็ได้ ส่วนสามคนนี้ชื่อ แอน หยาดแล้วก็กุ๊กค่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ทำงานที่เดียวกันค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ ผมชื่อภามครับ ภามพิชญ์”
เมื่อรู้จักกันดีแล้ว ทั้งหมดจึงเดินกลับเข้าอาคารพร้อมกัน ชายหนุ่มเดินคู่ไปกับกังสดาลโดยอัตโนมัติ เสียงทุ้มๆ ดังคลอยามเขาชวนคุย ทำให้เพื่อนๆ มองกังสดาลด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย แต่ระหว่างนั้นก็ยิ้มหน้าบานเพราะมีหนุ่มหล่อมาให้แทะโลมไปตลอดทาง
เวลาเดียวกันกังสดาลไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนกำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคน เป็นแววตากร้าวจ้าจากภายในตัวรถยนต์ที่ติดฟิล์มดำสนิท...
“คนนี้ใช่ไหม” เสียงค่อนข้างแหบนิดๆ เอ่ยถาม
“ครับ คนนี้ไม่ผิดแน่” ใครอีกคนทำหน้าที่ขับรถตอบ
“สวยดีนี่หว่า...” ชายคนเดิมแสยะยิ้ม ตบไหล่ของคนขับสองครั้ง รถคันนั้นจึงเคลื่อนออกไปจากจุดที่จอด
ที่บ้านของนายภิญโญและคุณนายสุดา เมื่อปรึกษากันแล้วจึงจำต้องยอมทำตามข้อแม้ของหลานสาวในที่สุด
“ถ้าเกิดมันเปลี่ยนใจไล่เราออกจากบ้านล่ะคุณพี่”
คุณนายสุดามีความรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเมื่อคิดถึงสีหน้าและแววตาของกังสดาลในวันนั้น
“หรือคุณจะยอมให้บ้านถูกยึดล่ะ เปลี่ยนจากไอ้พวกเจ้าหนี้โหดมาเป็นยัยกั้งก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
แต่ถึงอย่างนั้นคุณนายสุดาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ทั้งยังเจ็บใจหลานสาวของสามีไม่หาย ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่มีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกอะไรกับความทุกข์ร้อนของบิดามารดา
“แล้วแกล่ะ คิดว่าไงยัยก้อย”
กรธิดาเงยหน้าขึ้นจากสมาร์ตโฟน แล้วผ่อนลมหายใจยาว
“หนูเห็นด้วยกับคุณพ่อนะคะ อย่างน้อยบ้านเราก็ยังเป็นของพวกเรา ไม่ได้เป็นของไอ้พวกคนในบ่อน”
คุณนายสุดาถอนหายใจพรืด ดวงหน้าฉายชัดถึงความแค้นเคืองกังสดาล
“คุณพี่ไม่เห็นสีหน้าของนังหลานสาวตัวดี มันเยาะเย้ยพวกเรา ถ้ามันทำได้ มันคงเหยียบหัวฉันไปแล้ว นังคนเนรคุณ ไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยรดหัวมัน คอยดูนะ มีโอกาสเมื่อไรฉันจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึก ว่าคนอย่างฉันจะมาดูถูกกันง่ายๆ ไม่ได้”
คำผรุสวาทของคุณนายสุดาทำให้สามีถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขาเองแม้จะไม่ได้เป็นลุงที่ดีนัก ทั้งยังเคยส่งหลานเข้าไปอยู่ในมือคนเถื่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็นึกละอายแก่ใจตนเองมาตลอด จึงไม่กล้าแม้แต่จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากกังสดาล เพราะรู้ว่าตนและครอบครัวทำอะไรไว้กับลูกสาวของน้องชายที่ลาลับโลกนี้ไปนานแล้ว
“คุณแม่อย่าคิดมากไปเลยค่ะ อย่าลืมสิคะว่าพื้นฐานของกั้งไม่ใช่คนใจดำ ตอนนี้อาจจะยังโกรธพวกเราอยู่ก็เลยแสดงออกมาแบบนั้น แต่ถ้าได้เจอกันบ่อยๆ แล้วพยายามทำดีกับกั้งให้มากๆ บางทีกั้งอาจยอมคืนบ้านให้กับคุณพ่อคุณแม่โดยไม่มีเงื่อนไข แค่คุณแม่ต้องใจเย็นลง แล้วก็อย่าเสียงดัง อย่าเอ็ดกั้งเหมือนที่ผ่านมา เอาน้ำเย็นลูบ จากที่ใจแข็งๆ บางทีอาจใจอ่อนลง และยอมช่วยอย่างไม่มีข้อแม้นะคะ”
คุณนายสุดาและสามีมองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อ นับเป็นครั้งแรกที่กรธิดาออกความคิดเห็นอย่างคนที่ไตร่ตรองมาดี คุณนายสุดาใคร่ครวญแล้วให้รู้สึกคล้อยตามคำลูกสาว
“จริงสินะ ยัยกั้งไม่ใช่คนใจดำ ที่เป็นแบบนั้นคงเพราะยังโกรธที่เราไม่ยอมทำตามสัญญา อันที่จริงแม่นั่นต้องขอบคุณเราด้วยซ้ำที่อุ้มสมให้ไปเจอกับไอ้หมอนั่น เฮอะ ทำเป็นวางมาดผู้ดี ที่แท้มันก็แค่ลูกกะหรี่ ถ้าน้องชายคุณไม่ยอมรับมันเป็นลูกป่านนี้คงได้เป็นกะหรี่ตามแม่มันไปแล้ว!”
กรธิดาปรายตามองมารดาที่หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันดูแคลน แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดพูดแค่นั้น
“อันที่จริงมันสองคนก็เหมาะสมกันดี คนหนึ่งเป็นคนเถื่อน อีกคนเป็นลูกกะหรี่ หึ อีกหน่อยถ้าผัวมันพลาดพลั้งถูกยิงตายขึ้นมาเมื่อไร ตัวมันก็คงไม่แคล้วต้องขายตัวกิน เพราะชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเป็น นอกจากนอนอ้าขาให้...”
“พอทีเถอะ!” คุณภิญโญทนฟังต่อไปไม่ไหว ตวาดลั่นจนภรรยาอ้าปากค้างพร้อมกับลุกขึ้นเต็มความสูง เขามองนางด้วยสายตาผิดหวัง ยิ่งแก่ตัวไป สุดายิ่งปากไม่มีหูรูด คิดจะก่นด่าใครก็ทำยิ่งกว่าคนที่สืบกำพืดชั้นต่ำมาเสียอีก!
ทว่าคนเรานี้หนา จิตใจจะสูงต่ำหาใช่ที่มาเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความนึกคิดของคนคนนั้นด้วย
“นี่คุณพี่ตวาดฉัน!” นางกำมือแน่นด้วยความโกรธและตกใจ ฝ่ายนั้นพ่นลมหายใจอีกพรืดก่อนก้าวออกไปจากห้องโถงโดยไม่พูดอะไรสักคำ จึงหันเหไปทางกรธิดาที่ขยับตัวเตรียมลุกหนีไปอีกคน
“แกเห็นไหมยัยก้อย แกเห็นพ่อแกตวาดแม่ไหม!! หน็อย ทำมาเป็นขึ้นเสียงใส่แม่ ชาตินี้จะมีหน้ามีตาขึ้นมาได้ไหมถ้าฉันไม่ส่งเสริมหาลู่ทางให้ ไม่มี! บอกเลยว่าคนอย่างพ่อแกน่ะไม่มีปัญญาทำได้!!”
หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา ใช่เพียงบิดาที่เบื่อหน่ายและไม่อาจทนฟัง หล่อนเองที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจก็เริ่มหมดความอดทนเช่นกัน เพราะแม่ของหล่อนเป็นแบบนี้อย่างไร เรื่องทุกอย่างจึงมีแต่แย่ลง...