๑๓
คืนลงทัณฑ์
วันรุ่งขึ้น หญิงสาวตื่นก่อนอธิคมน์แล้วเดินลงไปดูในครัว พบว่าอาหารพรั่งพร้อมจนต้องหันไปถามนพที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น
“อาหารพวกนี้มาจากไหนคะ” ดวงหน้าอ่อนใสของคนตัวบางบ่งบอกถึงความกังขา
“สั่งมาครับ มีร้านอาหารไม่ไกลจากที่นี่ เวลาพวกเรามา ก็จะสั่งกับร้านนี้ทุกครั้ง”
คิ้วที่ย่นชนกันเมื่อครู่ค่อยๆ คลายออกจากกันเมื่อสิ้นสงสัย จากนั้นหญิงสาวก็ยิ้มให้กับนพ
“คุณคมน์ยังหลับอยู่ กั้งเลยว่าจะขอเดินดูรอบๆ บ้านสักหน่อย ถ้าคุณคมน์ตื่นมาถามหา ฝากบอกด้วยนะคะ”
นพสบตาหญิงสาวครู่หนึ่ง เมื่อคิดดูแล้วว่าที่นี่ไม่มีอันตรายใดๆ จึงพยักหน้าตอบรับ คนตัวบางยิ้มหวานด้วยความดีใจก่อนจะหมุนร่างเดินออกไปจากบริเวณนั้น
ริวก้าวมาหยุดยืนข้างกายเพื่อนพลางเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า
“มึงว่านายจะเลี้ยงคุณกั้งไปนานแค่ไหนวะ”
นพถอนหายใจยาว แล้วหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาเบื่อหน่าย เบื่อ...ที่มันไม่ค่อยจะรู้อะไรเอาเสียเลย
“มึงคิดว่าสายตาเฮียเวลามองคุณกั้งเหมือนที่มองผู้หญิงคนอื่นไหม” ริวนิ่งคิดก่อนส่ายหน้า “งั้นมึงก็รู้แล้วสิ ว่าเฮียไม่ใช่แค่หลง แต่มันมากกว่านั้น”
รอเพียงเจ้าตัวจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองก็แค่นั้น
นพทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ แล้วเดินหนีไปอีกคน ทำให้ริวคลายหัวคิ้วที่มุ่นขมวด ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม
กังสดาลเดินเล่นไปรอบบ้าน พลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด อากาศดีๆ แบบนี้ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่หล่อนยังเป็นนักศึกษา บ่อยครั้งในวันหยุดหล่อนและเพื่อนจะชวนกันไปเที่ยวตามหมู่บ้านในชนบทเสมอ
หญิงสาวมองลงไปยังเรือนแพ คนของอธิคมน์คงจะพักอยู่ที่นั่นส่วนหนึ่ง แต่ยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาคอยดูแลความเรียบร้อยเป็นเวรยามตลอดค่ำคืน
กังสดาลเดินกลับมาบริเวณหน้าบ้าน แล้วสาวเท้าไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางสบายใจ รู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดยังรั้วบ้านที่ไม่ได้ล็อกแน่นหนา จึงหันไปมองด้านหลัง ก่อนจะตัดสินใจก้าวออกไปโดยที่ไม่มีใครทันได้เห็น
ร่างระหงในชุดแซกแขนกุดผ้าลินินสีมะปราง ยาวเหนือเข่าเล็กน้อยเดินทอดน่องไปตามทางเล็กๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสนใจ ก่อนแวะที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง ทว่าการจัดการร้านดูสะอาดสะอ้าน ที่ชายคามีกระถางดอกไม้ห้อยระย้าเป็นระยะ ออกดอกสะพรั่งน่านั่งดีทีเดียว
“ซื้ออะไรดีจ๊ะหนู” แม่ค้าวัยกลางคนเดินออกมาสอบถาม แววตาที่มองมาแสดงออกถึงความใส่ใจแกมอยากรู้อยากเห็น “หนูเพิ่งมาอยู่แถวนี้หรือเปล่า ป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”
กังสดาลยิ้มให้แม่ค้าวัยกลางคน
“หนูมาเที่ยวค่ะ อีกวันสองวันก็กลับแล้ว ซื้อน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งหนึ่งแก้วค่ะ”
“ได้จ้ะ รอเดี๋ยวนะจ๊ะ” แม่ค้าผู้มีอัธยาศัยดียิ้มให้ก่อนผละไป หญิงสาวจึงนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนตรงหน้าร้าน ระหว่างนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ด้านข้าง ตะกร้าหน้าเต็มไปด้วยข้าวของ เบาะหลังมีลังใส่ของสดอีกหนึ่งลัง
“โชค มาช่วยแม่ขนของหน่อยลูก” เสียงหวานๆ ของสาวสวยที่มีใบหน้าคมคายคนนั้นร้องบอกลูกชาย ไม่นานนักเด็กชายอายุประมาณสิบปีก็เดินออกมาช่วยแม่ขนของเข้าบ้าน
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินหายเข้าไปด้านใน กังสดาลจึงเลิกสนใจ รออยู่ครู่หนึ่งแก้วน้ำอัดลมมีหูหิ้วเป็นถุงพลาสติกก็วางลงบนโต๊ะ เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองจึงส่งยิ้มให้แม่ค้าหน้าหวานคนเมื่อครู่
“ยี่สิบบาทค่ะ” อรทัยบอกราคาน้ำอัดลมแก่ลูกค้าสาวสวย พลางลอบมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ จากนั้นจึงรับแบงก์ยี่สิบก่อนจะเอ่ยถามเมื่อสาวสวยร่างบางทำท่าจะเดินจากไป
“เพิ่งเคยเห็นหน้าน้องครั้งแรก มาเที่ยวหรือย้ายมาอยู่แถวนี้คะ” แม่ค้าสาวตาคมเอ่ยถาม
“มาเที่ยวค่ะ”
รอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนหวานของเจ้าของคำตอบทำให้แม่ค้าหน้าคมส่งยิ้มให้พร้อมทำเสียงรับรู้ เมื่อลูกค้าสาวก้าวออกไปจากร้านรอยยิ้มบนดวงหน้าคมหวานก็ค่อยๆ จางลง ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านตามเสียงเรียกของมารดา
“ได้ของมาครบหรือเปล่าอร คราวนี้คนบ้านโน้นพาคนมาเยอะเลยนะ คงต้องรีบทำกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันเวลา”
เสียงแว่วๆ ของแม่ค้าวัยกลางคนตะโกนถามลูกสาว ทำให้กังสดาลมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แต่แล้วก็เลิกสนใจเมื่อหันไปเห็นบ้านไม้หลังหนึ่งปลูกดอกไม้เอาไว้เต็มหน้าบ้าน มองแล้วสบายตาเสียจริง...
ทันทีที่กังสดาลกลับมาถึงบ้านหญิงสาวก็รู้สึกถึงความอึมครึมจากภายในสถานที่ กระทั่งพบกับสายตาคมกริบของอธิคมน์ที่กำลังมองมา ทำให้หล่อนรู้ตัวว่ากำลังถูกโกรธเข้าให้แล้ว จึงยิ้มเจื่อนๆ ขณะก้าวตรงไปหา ในมือถือแก้วน้ำอัดลมหนึ่งแก้ว...
“ไปไหนมา” น้ำเสียงทุ้มต่ำตอกย้ำให้กังสดาลมั่นใจว่าเขาโกรธจริง หญิงสาวหันไปมองลูกน้องของเขาราวจะหาคนช่วย แต่คนเหล่านั้นกลับเมินหน้ามองไปทางอื่น บ้างก็ก้มหน้าลง บางคนยิ้มคล้ายขบขัน
“ไปเดินเล่นมาค่ะ ดื่มน้ำอัดลมไหมคะ” เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดที่ออกจากบ้านโดยไม่บอกเขาก่อน จึงยกแก้วน้ำขึ้นจดที่ริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างเอาใจ แต่อีกฝ่ายกลับมองหล่อนนิ่งแล้วดันแก้วน้ำใบนั้นออกห่าง นัยน์ตายังเข้มจัดเหมือนเดิม ทำเอาคนที่พยายามงอนง้อหน้าหงอยลงทันที
ลูกน้องของเขาที่ทำท่าหัวเราะขันหญิงสาวยังถูกสายตาพิฆาตตวัดมอง แค่วูบเดียวคนเหล่านั้นก็แตกกระเจิงแบบตัวใครตัวมัน
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าอยากจะไปไหนให้บอกกับนพ” หญิงสาวก้มหน้างุด เพราะรู้ตัวว่าผิดเต็มๆ จึงยังไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ “คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก”
น้ำเสียงกดต่ำทำให้คนตัวบางเงยหน้าขึ้นมอง
“ขอโทษค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงอ่อยๆ ชายหนุ่มก็หันหลังให้แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมพร้อมเอาไว้นานแล้ว
“มาสิ”
เสียงเรียกทำให้คนที่ยืนทำหน้าจ๋อยอย่างคนสำนึกผิดเปิดยิ้มกว้าง แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คนหน้าบึ้ง
อธิคมน์ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนหน้านั้นสิบนาทีเขาเฉ่งคนของตัวเองเรื่องปล่อยให้กังสดาลหายตัวไป โดยไม่มีใครรู้อะไรเลย กำลังจะให้คนเหล่านั้นออกไปตามหาแต่หล่อนก็กลับมาเสียก่อน เวลานั้นเขายอมรับว่าทั้งโกรธและโล่งใจเป็นที่สุด
ระหว่างนั่งรับประทานอาหารเช้า กังสดาลพยายามดูแลเขาอย่างดี ส่วนชายหนุ่มกินข้าวไปเงียบๆ ปล่อยให้หล่อนเอาอกเอาใจตามสบาย กระทั่งอิ่มหนำสำราญแล้วจึงพาหล่อนลงไปนอนเล่นที่เรือนแพด้านล่าง คนของเขาก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เชื่อเถอะ หากมีอะไรเกิดขึ้นแม้เพียงนิด คนเหล่านั้นก็พร้อมจะโผล่หน้าออกมาอย่างรวดเร็ว
“อย่าหายไปไหนโดยไม่บอกกับใครอีก”
หญิงสาวช้อนตามองคนที่นั่งห้อยขาลงไปในน้ำที่ไหลเอื่อยด้วยสายตาสำนึกผิด
“กั้งไม่คิดว่าแถวนี้จะมีอันตรายอะไร ก็เลยออกไปโดยไม่บอกกับใคร กั้งขอโทษนะคะ สัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณต้องเป็นห่วงแบบวันนี้อีกแล้ว”
มือเรียวเล็กสอดเข้าไปกอดท่อนแขนกำยำของชายหนุ่ม พร้อมกับซบแก้มลงกับท่อนแขนของเขา
อธิคมน์หลุบตามองคนที่กำลังงอนง้ออยู่เงียบๆ
“ใครเขาเป็นห่วง” เขาถามเสียงต่ำ ทำเอาคนตัวนุ่มขบเม้มเรียวปาก แก้มร้อนขึ้นมานิดหน่อย เริ่มไม่แน่ใจว่าหล่อนกำลังเข้าใจผิดไปเองอยู่หรือเปล่าว่าเขาเป็นห่วง...
“ก็...คุณไง” ยกปลายนิ้วขึ้นเขี่ยตรงไหล่กว้างของเขา ท่าทางทำตัวไม่ค่อยถูกของกังสดาลทำให้ชายหนุ่มนึกขัน มุมปากข้างหนึ่งจึงกดลึก
“คราวหน้าถ้าทำแบบนี้อีกต้องมีคนถูกทำโทษกันบ้าง”
คนฟังทำคอย่นเล็กน้อย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นแววตาอ่อนแสงมองมา ทำให้หัวใจที่วูบโหวงลงเมื่อครู่ค่อยๆ พองโตอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมคำถาม
“แล้วครั้งนี้ล่ะคะ จะโดนด้วยไหม”
แววตาของเจ้าหล่อนระยิบระยับคล้ายไม่ค่อยจะสำนึกผิดจริงสักเท่าไร เขาจึงทำเสียงคำรามในลำคอเบาๆ ก่อนจะสอดฝ่ามือใหญ่เข้าไปใต้ท้ายทอยของหญิงสาว แล้วก้มหน้าลงหาจนริมฝีปากสีเข้มชิดริมฝีปากอ่อนนุ่ม
“โดนสิ คืนนี้โดนแน่”
สิ้นเสียงทุ้มๆ ริมฝีปากสีหวานก็ถูกบดขยี้ด้วยเรียวปากร้อนรุ่มจนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นกอดรัดรอบต้นคอแกร่งเอาไว้แน่น หัวใจสั่นหวิวยามคิดถึงโทษทัณฑ์ในค่ำคืนนี้...
เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น อรทัยและมารดาบรรทุกอาหารนำมาส่งที่บ้านทรงไทย หญิงสาวจอดรถกระบะที่หน้าบ้าน ไม่ทันได้ลงไปกดกริ่ง ตาชูก็เดินแกมวิ่งออกมาเปิดรั้วให้ ใบหน้าหยาบกร้านเปิดยิ้มต้อนรับสองแม่ลูกที่คุ้นเคยกันดี
“ขอบคุณจ้ะตา” อรทัยลดกระจกลงแล้วร้องบอกกับตาชู ก่อนจะขับเข้าไปภายในบริเวณบ้านทรงไทย เมื่อรถจอดสนิทคนของอธิคมน์ก็เดินออกมาเพื่อช่วยสองแม่ลูกขนอาหารเย็นลงไปไว้ที่เรือนแพ
ขณะที่คนเหล่านั้นลำเลียงอาหารออกจากท้ายรถ อรทัยกำลังมองเข้าไปในตัวเรือน สายตาของหล่อนมองหาใครบางคนที่คุ้นตาและคุ้นใจ ทำให้นพที่เดินมาหยุดลงตรงหน้ามองหญิงสาวด้วยแววตาเย็นชา จนอีกฝ่ายยิ้มเจื่อนกับแววตาคมดุคู่นั้น
“ให้ขนเอาไปไว้ที่ไหนจ๊ะ”
เอ่ยถามเพื่อกลบเกลื่อน
“คุณไม่ต้อง ไอ้พวกนี้มันจะขนไปเอง”
หญิงสาวพยักหน้า พลางหันไปมองมารดาที่กุลีกุจอส่งอาหารที่จัดเป็นชุดให้คนของอธิคมน์ ก่อนจะหันไปยังตัวเรือนอีกครั้ง ทำให้นพต้องถอนหายใจยาวขณะมองตามสายตาของหญิงสาวตรงหน้า
“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”
คำถามของนพทำให้อรทัยสบตาคมกล้าของคนตัวโตหน้าดุ ก่อนหลบตาเล็กน้อยก่อนตอบ
“เจ้านายของคุณล่ะ ตั้งแต่มาถึง ฉันยังไม่เจอหน้าเลย”
นพมองผู้หญิงตรงหน้านิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะหันไปมองลูกน้องที่ช่วยกันขนอาหารสำเร็จรูปและของสดจำพวกอาหารทะเลลงไปยังเรือนแพด้านล่าง ก่อนจะหันกลับมาตอบหญิงสาวหน้าคม
“อยู่ข้างบน”
ได้ยินเช่นนั้นอรทัยจึงยิ้มให้คนตอบเล็กน้อย
“ฉันขอพบเขาสักครู่จะได้ไหม” เอ่ยถามไปแล้วก็สบตาคนตรงหน้าอย่างรอคอย เพราะตั้งแต่เขากลับมาที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อน อธิคมน์ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกับที่หล่อนเคยรู้จัก โดยเฉพาะเวลาที่ต้องการเข้าถึงตัวเขานั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าสิ่งใด
“ตอนนี้คงไม่ได้”
หญิงสาวขมวดคิ้ว ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน
“ทำไม หรือว่าเขาไม่อยากเจอฉัน” เอ่ยถามเสียงแผ่ว ปลายเสียงติดจะสั่นนิดๆ ทำให้นพถอนหายใจอีกคราแล้วบอก
“ไม่ใช่หรอกคุณ แค่ตอนนี้เฮียไม่ได้อยู่ตามลำพัง”
คำตอบของนพทำให้อรทัยขมวดคิ้วนิ่วหน้าหนักขึ้นไปอีก
“คุณกำลังบอกกับฉันว่าตอนนี้เขาอยู่กับคนอื่นใช่ไหม”
น้ำเสียงแผ่วๆ ที่ถามออกมาทำให้นพยิ้มตอบ
“ถูกต้อง ตอนนี้เฮียมีคน ‘สำคัญ’ มาด้วย” นพเน้นตรงคำว่า สำคัญ หนักกว่าคำอื่น ทำให้แววตาของคนตรงหน้าไหววูบในทันที