เมื่อเสียงหัวใจมันเต้นรัว

2437 Words
เสียงดนตรีจากเวทียังคงดำเนินต่อไป ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายคนเดียวที่ยืนอยู่กลางเวที ธาม นักร้องอินดี้ชื่อดัง ผู้ที่ไม่เคยรับงานแสดงมานานนับปี จู่ๆ กลับปรากฏตัวที่แคมป์เปิดใหม่กลางขุนเขาแห่งนี้ เสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนเพลงบางคนในลานดังขึ้น เมื่อพวกเขาตระหนักว่าชายคนนี้คือใคร ธามยังคงเล่นเพลงต่อไปด้วยความสงบนิ่ง เสียงกีตาร์ของเขาเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ ทุกคำร้องของเขาดูเหมือนกำลังสื่อสารกับบางคนโดยตรง ราวกับเขาไม่ได้ร้องเพื่อฝูงชน แต่เพื่อหัวใจที่รอการปลอบโยน เมื่อเสียงเพลงสุดท้ายจบลง เสียงปรบมือดังสนั่นลานกว้าง หลายคนยังตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยความตื่นเต้น แต่ธามเพียงโค้งขอบคุณเบาๆ แล้วเดินลงจากเวที ท่ามกลางความคึกคักที่ยังคงดำเนินไป เสียงพลุเริ่มดังมาไกลๆ ธามกลับเดินตรงไปยังโต๊ะหนึ่ง…โต๊ะที่ มั่น และเพื่อนๆ นั่งอยู่ “ว๊ายๆๆ นักร้องดังจริงด้วย” มีนาอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เกดเองก็ยิ้มกว้าง “พี่มั่นพูดจริงเหรอเนี่ย!” มั่นเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะพูดว่า เห็นไหมล่ะ พี่ไม่เคยโม้! “พี่บอกแล้วใช่ไหมล่ะ” มั่นพูดพลางลุกขึ้นต้อนรับธามที่เดินเข้ามา เมื่อธามมาถึงโต๊ะ เขาหยุดยืนตรงหน้ามั่น ก่อนจะยิ้มกว้างพร้อมตบไหล่เพื่อนสนิท “ขอบใจมากเพื่อน ที่ยอมลดตัวมาร้องเพลงที่แคมป์เล็กๆ แบบนี้” มั่นพูดด้วยน้ำเสียงแซว แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ธามยิ้มขณะตบไหล่มั่นกลับ “แหม มึงก็ว่าไป กูจะลืมสัญญาที่เคยให้ไว้ได้ไง” เขาพูดเรียบๆ แต่คำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงใจ บนโต๊ะ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ธาม ยกเว้นน้ำหวาน เธอยังคงหลบตา ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นเหมือนใครๆ ใบหน้าของเธอสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกว้าวุ่นอย่างประหลาด ราวกับสายตาของเขากำลังจับจ้องมาที่เธอโดยตรง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะมีสายตาหลายคู่มองมาที่เขาด้วยความตื่นเต้น ธามกลับไม่ละสายตาจากน้ำหวาน ผู้หญิงที่ดูเงียบที่สุดในโต๊ะ คนเดียวที่ไม่ได้มองมาที่เขาเหมือนคนอื่น “พี่ธามเป็นเพื่อนพี่มั่นสมัยเรียนจริงเหรอครับ?” จ๋ายถามขึ้นพลางยิ้มกว้าง ความตื่นเต้นปรากฏชัดบนใบหน้า ธามหันไปมองจ๋าย ก่อนจะยิ้มเล็กๆ “ครับ” เขาตอบเรียบๆ เสียงของเขานุ่มทุ้มแต่หนักแน่น “โห จริงเหรอ! พี่มั่นเคยบอกว่ารู้จักนักร้องดัง แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นพี่ธามจริงๆ” จ๋ายพูดต่อ พลางทำหน้าทึ่ง มั่นหัวเราะลั่น “ไงล่ะ น้องจ๋าย คราวนี้เชื่อพี่มั่นแล้วใช่ไหม!” หลังจากที่เสียงหัวเราะและการหยอกล้อจางลง มั่นยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาตบไหล่ธามเบาๆ ก่อนจะเริ่มแนะนำกลุ่มเพื่อนๆ ของเขาที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ “เอาล่ะ ธาม พวกนี้คือแก๊งเพื่อนสนิทของฉันเอง เป็นกลุ่มนักเขียนที่น่ารักมากๆ บอกเลยว่าแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ” ธามยิ้มบางๆ สายตายังเหลือบมองน้ำหวานที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง “เริ่มจากคนแรก…จ๋าย! นักเขียนหนุ่มสายวายสุดชิค” มั่นยกมือชี้ไปที่จ๋ายที่ยิ้มรับอย่างภาคภูมิ “เรื่องพล็อตนี่หวานหยด ตัวละครหล่อแซ่บจนคนอ่านเคลิ้มทั้งวงการ” “ขอบคุณครับๆ” จ๋ายตอบพลางยิ้มกว้าง “แต่ขอชมจริงๆ เถอะครับ พี่ธาม เสียงพี่สุดยอดมาก” มั่นหัวเราะ ก่อนจะชี้ไปที่เกด “ต่อไป สาวอวบใส่แว่นผมบ๊อบคนนี้ เกด.... นักเขียนแฟนตาซีที่สร้างโลกในนิยายจนคนอ่านติดงอมแงม บอกเลยว่าจินตนาการของเธอไม่มีที่สิ้นสุด” เกดยิ้มและขยับแว่นเล็กน้อย “พูดเวอร์ไปแล้วพี่มั่น แต่ก็ขอบคุณค่ะ” “และนี่ มีนา.....สาวอินดี้สายแฟนตาซีที่มีลายสักเต็มตัว เรื่องของเธอพิเศษตรงที่ผสมความดาร์กและความหวานในโลกเวทมนตร์ได้อย่างลงตัว” มั่นกล่าวต่อ มีนาทำมือชูสองนิ้ว “สวัสดีค่ะ....พี่ธามเพลงพี่แจ่มมาก” มั่นหันไปทางชุน “ส่วนคนนี้ พี่ชุน พี่ใหญ่ของเรา นักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนที่สายลึกลับสุดเข้มข้น ถ้าใครอ่านงานเขา บอกเลยว่าจะหยุดคิดไม่ได้” ชุนพยักหน้ารับอย่างสงบ “ยินดีครับ” มั่นหยุดหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปที่น้ำหวานที่ยังนั่งเงียบอยู่มุมโต๊ะ “และสุดท้าย... คุณนักเขียนมือทองของเรา น้ำหวาน เจ้าของผลงานโรแมนติกดราม่าที่ทำยอดขายถล่มทลาย” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากเกดและมีนา ขณะที่จ๋ายส่งเสียงแซว “ใช่เลย พี่น้ำหวานของเราคือนักเขียนในตำนาน” ธามที่กำลังยิ้มบางๆ อยู่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อและคำแนะนำของเธอ ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “น้ำหวาน...” เขาทวนชื่อในใจ ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปที่เธอ มั่นหันไปพูดเสริม “นามปากกาของเธอคือ ‘น้ำค้างยามเช้า’ นายคงเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหม?” ธามนิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับเผยความประหลาดใจออกมา เขารู้จักชื่อนี้ดี...ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่เขาคือแฟนตัวยงของงานเขียนเธอ หนังสือของน้ำหวานเคยช่วยปลอบประโลมเขาในวันที่เขารู้สึกอ้างว้างที่สุด เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ผู้หญิงที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบตัวจริงในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อมั่นแนะนำทุกคนเสร็จ บรรยากาศรอบลานเริ่มคึกคักขึ้น เสียงดนตรีจากนักร้องวงถัดไปเริ่มเปลี่ยนจังหวะ และเสียงประกาศก็ดังขึ้นจากเวที “อีกห้านาที เราจะเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่.....” เสียงปรบมือและโห่ร้องจากฝูงชนดังขึ้น น้ำหวานยิ้มเบาๆ และยกแก้วขึ้นอีกครั้ง สายตาของธามยังคงจับจ้องไปที่เธอ เสียงพูดคุยและหัวเราะดังขึ้นรอบโต๊ะ ทุกคนเริ่มล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน แต่ธามยังคงเหลือบตามองน้ำหวานอยู่เงียบๆ เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างในตัวเธอ…บางอย่างที่ดึงดูดเขาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงผู้คนรอบลานเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ การนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ใกล้เข้ามา ผู้คนต่างเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กัน เสียงหัวเราะและคำอวยพรก่อนปีใหม่ดังเซ็งแซ่ แต่ในใจของธามกลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่น เขาไม่สนใจเสียงโห่ร้องหรือแสงไฟที่วูบวาบ เขาสนใจแค่คนเดียว… น้ำหวาน ในใจเขามีคำถามวนเวียน ทำยังไงดี… อยากไปยืนใกล้เธอ อยากให้เธอรู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ เขาเริ่มเคลื่อนตัว พยายามเบียดกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบโต๊ะอย่างเนียนที่สุด มั่นที่ยืนพูดคุยอยู่กับจ๋ายไม่ทันสังเกต ขณะที่เกดและมีนากำลังหัวเราะกันสนุกสนาน สิบ… เก้า… แปด… ธามเบียดผ่านจ๋าย และขยับเข้ามาใกล้น้ำหวานที่ยืนอยู่ริมโต๊ะ เธอหันมามองเขาเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเธอที่สะท้อนแสงไฟจากเวทีทำให้เขาเผลอจ้องมองอยู่นาน สาม… สอง… หนึ่ง! เสียงพลุดังสนั่นทั่วลาน ท้องฟ้ากลางคืนสว่างวาบด้วยแสงสีที่แต่งแต้ม ผู้คนโห่ร้องและพูดคำว่า "สวัสดีปีใหม่!" กันอย่างร่าเริง ในจังหวะนั้น น้ำหวานที่ยืนอยู่ริมโต๊ะถูกเบียดโดยกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนไหว เธอเซไปด้านข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ก่อนที่เธอจะล้มลง ธามยื่นมือออกมาคว้าแขนของเธอไว้ “อ๊ะ!” เสียงเธอหลุดออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะเซถลาตรงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ร่างของเธอแนบชิดกับเขาในจังหวะที่ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ภาพตรงหน้าคือเธอ…น้ำหวาน…ในอ้อมแขนของเขา ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับเขา ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนแทบไม่มีช่องว่าง และก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว… ริมฝีปากของพวกเขาแตะกัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน พลุที่สว่างวาบเหนือฟ้ากลายเป็นแสงสว่างเบื้องหลัง ราวกับมีเพียงพวกเขาสองคนที่ตกอยู่ในห้วงเวลาแสนพิเศษนี้ เสียงผู้คนยังคงโห่ร้องอวยพรกัน แต่ไม่มีใครทันได้เห็นภาพนั้น ดวงตาของทั้งสองสบกัน ใบหน้าที่ใกล้กันเกินไปทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาได้ หัวใจของธามเต้นระรัวจนแทบหลุดออกจากอก เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของเธอ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เหมือนจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำ น้ำหวานที่นิ่งค้างอยู่นั้นเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย ก่อนจะลุกขึ้นจากตัวเขา แต่เธอไม่สามารถซ่อนสีแดงระเรื่อบนแก้มได้ ธามยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตายังคงจับจ้องที่เธอเหมือนต้องการจดจำทุกวินาทีนี้ไปตลอดชีวิต “ขะ… ขอโทษครับ” ธามเอ่ยออกมาเสียงเบา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาสั่นระริกเหมือนคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ น้ำหวานที่ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พยายามตั้งตัวหลังจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เธอก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนตอบกลับเบาๆ “มะ… ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยซีดขาวกลับเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ เธอไม่กล้าสบตาเขา แววตาเลิ่กลั่กที่มองไปทางอื่นทำให้ทุกอย่างยิ่งดูน่าเอ็นดู ธามยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูบมือไปตามต้นคอของตัวเองเหมือนพยายามหาทางควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในอก ดวงตาของเขาแอบเหลือบมองเธอ แต่พอเห็นว่าเธอยังคงหลบตา เขาก็รีบเบือนสายตาไปอีกทาง รอบตัวของพวกเขา ทุกคนยังคงพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข ไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่มีใครเห็นความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่มีใครได้ยินเสียงหัวใจของทั้งสองที่เต้นดังราวกับจะหลุดออกจากอก ธามสูดลมหายใจลึก พยายามปรับสีหน้าของตัวเองให้ดูสงบ แต่ความอายยังคงแฝงอยู่ในน้ำเสียงเมื่อเขาพูดขึ้นเบาๆ “เอ่อ… คุณโอเคไหมครับ?” น้ำหวานเงยหน้าขึ้นมามองเขาเพียงครู่ ก่อนรีบหลบสายตาอีกครั้ง “ค่ะ… ฉันโอเค” เธอตอบเบาๆ แต่ความเขินอายในน้ำเสียงทำให้คำพูดนั้นดูไม่มั่นใจนัก “เอ่อ…” ธามพยายามหาคำพูดต่อ แต่ดูเหมือนสมองของเขาจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ น้ำหวานกระชับแขนตัวเอง พลางพูดเบาๆ “ขอบคุณค่ะ… ที่ช่วยฉันเมื่อกี้” ธามยิ้มบางๆ แม้ใบหน้ายังคงแดงก่ำ “ยินดีครับ…” ทั้งสองยังคงยืนอยู่ใกล้กัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ความเงียบระหว่างพวกเขาไม่ใช่ความอึดอัด แต่เต็มไปด้วยความเขินอายที่แสนอบอุ่น ในที่สุด จ๋ายที่เพิ่งหันกลับมาจากการพูดคุยกับมั่นก็เรียกขึ้น “เจ่เจ๊! มาชนแก้วกันต่อสิ!” น้ำหวานพยักหน้ารับ รีบหันกลับไปที่โต๊ะด้วยท่าทางที่เหมือนต้องการซ่อนความเขินอายของตัวเอง ธามยังคงยืนมองเธออยู่ที่เดิม รอยยิ้มเล็กๆ ที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา “บางที…การขอโทษครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน” เมื่อเสียงพลุสุดท้ายดับลงและแสงสีจากท้องฟ้าค่อยๆ เลือนหาย ทุกคนเริ่มกลับมานั่งที่โต๊ะ เสียงพูดคุยสนุกสนานเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ความอบอุ่นจากมิตรภาพและการเฉลิมฉลองเติมเต็มบรรยากาศ ธามที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะมองไปที่เก้าอี้ที่เหลืออยู่ เขาไม่ได้ตั้งใจแต่กลับก้าวเข้าหาเก้าอี้ข้างๆ น้ำหวานโดยไม่รู้ตัว “เอ่อนี่กูเป็นอะไรมากไหมเนี่ย…” เขาคิดในใจขณะที่กำลังนั่งลงข้างเธออย่างเนียนที่สุด ท่ามกลางเสียงพูดคุยและหัวเราะ เขาแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับเต้นระรัว เขาหันไปมองเธอ น้ำหวานที่นั่งสงบนิ่ง ยังคงดูเหมือนกำลังตั้งสติหลังเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อครู่ เธอไม่ได้หันมามองเขา หรืออาจจะรู้สึกถึงสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่ แต่เลือกที่จะไม่สนใจ “ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้…” ธามถามตัวเองอีกครั้ง แต่คำตอบกลับไม่ได้มาจากเหตุผลใดๆ มันเป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ แค่รู้สึกว่า…ใช่ ทุกครั้งที่เขาเหลือบมองเธอ หัวใจกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ราวกับแรงโน้มถ่วงที่ไม่อาจต้านทาน มันไม่ได้มีเหตุผลใดรองรับ ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล แต่มันชัดเจนในความรู้สึกของเขาว่า… เขาอยากอยู่ใกล้เธอ น้ำหวานที่ยังไม่พูดอะไรมากนักเพียงยกแก้วขึ้นจิบเบียร์ เธอดูสงบนิ่งในสายตาคนอื่น แต่สำหรับธาม เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น ความเศร้า ความลึกซึ้ง และอะไรบางอย่างที่ทำให้เขายิ่งอยากเข้าไปใกล้ "พี่ธาม ดื่มครับ!" เสียงจ๋ายที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกแก้วเบียร์ขึ้น ธามหลุดออกจากภวังค์ รีบยิ้มและยกแก้วขึ้นชน "ดื่มสิครับ!" เขาตอบพร้อมยิ้มเล็กๆ มั่นมองธามที่ดูผ่อนคลายผิดปกติ พลางเอ่ยขึ้นอย่างล้อเลียน "ธาม มึงดูแปลกๆ นะวันนี้ คิดอะไรอยู่รึเปล่า?" ธามหัวเราะกลบเกลื่อน "เปล่า! แค่ปีใหม่ก็ดีใจเฉยๆ" เขาพูดพลางจิบเบียร์ แต่ในใจของเขา… แรงดึงดูดที่เขารู้สึกต่อเธอไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งชัดเจนขึ้นในทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้ เธออาจยังไม่รู้ตัว แต่สำหรับเขา มันเหมือนถูกกระตุ้นให้ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เธอหลุดหายไปจากวงโคจรของเขา “ถ้ารู้สึกว่าใช่ ก็ไขว่คว้าเลย…” เสียงในใจพูดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ธามรู้ว่าเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD