ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

2709 Words
น้ำหวานที่ยังคงงัวเงียจากอาการเมาเมื่อคืนพลันลุกพรวดขึ้นจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ “นี่กี่โมงแล้วคะเนี่ย!” ธามที่ยังนั่งพิงผนังอยู่มองเธอด้วยความสงบก่อนจะยกข้อมือดูนาฬิกา “ตีห้าครึ่งครับ” “ว๊าย! ไม่ทันแล้ว! ไม่ทันแล้ว!” น้ำหวานอุทานด้วยความลนลาน เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องเหมือนมองหาสิ่งที่จำเป็น ธามขมวดคิ้วเล็กน้อย “อะไรครับ อะไรไม่ทัน?” “พระอาทิตย์ขึ้นค่ะ” เธอตอบพลางรีบวิ่งไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่ “ฉันต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้น! แต่ว่า… ขับมอไซค์ไม่เป็น…” เธอชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมามองธาม “คุณธามช่วยหน่อยได้ไหมคะ?” ธามที่ยังไม่ได้ตั้งตัวเต็มที่ถูกลากออกจากห้องในพริบตา เขาหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ที่เธอกระหืดกระหอบไปเอากับพนักงานมายื่นให้ โดยไม่ทันคิดอะไร นี่เราโดนอะไรเนี่ยเขาคิด… เมื่อทั้งคู่มาถึงจุดที่มอเตอร์ไซค์หลายคันจอดอยู่ น้ำหวานกระโดดลงจากรถทันทีโดยไม่รอให้ธามพูดอะไร เธอรีบวิ่งไปยังจุดที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ — จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก “จ๋าย! มีนา! พี่มั่น! เกด! พี่ชุน!” น้ำหวานร้องเรียกเพื่อนๆ ของเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพื่อนๆ ที่เมื่อคืนเมามายยังไงกลับพยายามลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ พวกเขายืนรวมกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล ต่างคนต่างมีท่าทางง่วงงุนและสะลึมสะลือ แต่เมื่อเห็นน้ำหวานวิ่งเข้ามา ทุกคนก็หัวเราะ “อิเจ๊...วิ่งมาทำไมเนี่ย...นึกว่ามาไม่ทันเหรอ?” จ๋ายแซวพร้อมรอยยิ้ม “ก็คิดว่าจะไม่ทันแล้วน่ะสิ” น้ำหวานตอบด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อย เธอกวาดตามองไปรอบๆ แต่ทันใดนั้น เธอก็เบะหน้าเมื่อรู้ว่า…เธอลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง “ลืมโทรศัพท์อีกแล้ว…” เธอบ่นพึมพำด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเล็กๆ ธามที่เดินตามมาห่างๆ มองดูเธอพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ท่าทางขี้ลืมและลนลานของเธอไม่ได้ดูน่าหงุดหงิดสำหรับเขาเลย แต่กลับดู… น่ารัก “ไม่เป็นไรครับ” ธามพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา “ผมถ่ายให้ เดี๋ยวเราค่อยแอดไลน์ ผมส่งให้ทีหลัง” ดวงตาของน้ำหวานเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอยิ้มกว้าง “จริงเหรอคะ? ขอบคุณมากเลย!” ธามที่ยืนอยู่ตรงนั้น มองเธอด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ไหวไหมวะกู… กูไหวไหมกับความรู้สึกแบบนี้… เขาถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ดูเหมือน…กูคงไม่ไหวจริงๆ แล้วล่ะ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนงดงามของแสงอาทิตย์แรกที่กำลังเผยตัวจากทะเลหมอก ทุกคนในกลุ่มกระจายตัวนั่งและยืนตามมุมต่างๆ บ้างถือกล้องถ่ายภาพ บ้างเพียงมองความงามนั้นด้วยสายตาเปี่ยมความสุข น้ำหวานเดินช้าๆ ไปยังโขดหินที่อยู่ห่างออกไปอีกฝั่งหนึ่ง เธอหย่อนตัวลงนั่ง พลางกอดตัวเองเบาๆ ความหนาวยามเช้าทำให้เธอสะท้านเล็กน้อย เสื้อที่สวมใส่ไม่ได้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นมากนัก เพราะความรีบทำให้เธอลืมคว้าเสื้อคลุมเพิ่ม ธามมองเธอจากที่ไกลๆ ก่อนจะก้าวยาวๆ ตามไปอย่างไม่ลังเล แม้ตัวเขาเองก็ไม่ได้สวมเสื้อเพิ่มและรู้สึกหนาวไม่ต่างกัน แต่กลับมีบางสิ่งที่ผลักดันให้เขาต้องตามเธอไป เขาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ที่กำลังกอดตัวเองเพื่อสร้างความอบอุ่น ภาพนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างไม่อาจห้ามได้ ถ้าเขาได้กอดเธอไว้ล่ะ? ถ้าเขาได้ปกป้องเธอจากความหนาวเย็นแบบนี้… ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่ทันตั้งตัว เขากลืนน้ำลายเบาๆ พยายามไล่ความคิดที่ไม่ควรออกไป “หนาวไหมครับ?” เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของเช้าวันใหม่ น้ำหวานเงยหน้าขึ้นมองเขา รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า “หนาวค่ะ…” เธอตอบตรงๆ แต่กลับไม่ได้แสดงอาการทุกข์ร้อน “แต่อีกแป๊บนะคะ” ธามพยักหน้าเล็กน้อย แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องที่เธอ ความอ่อนโยนในแววตาทำให้เขาลังเลว่าจะพูดอะไรต่อดี ทันใดนั้น น้ำหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความฝัน “ถ้าตรงนี้เป็นฉากการสารภาพรักของคู่รักคงโรแมนติกสุดๆ เลยนะคะ” เธอพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจพูดกับเขา ดวงตาคู่นั้นมองออกไปที่ทะเลหมอก แต่เหมือนเธอกำลังหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ ราวกับในหัวกำลังเขียนนิยายของเธออยู่ ธามยืนนิ่ง รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เขาเผลอมองเธออยู่นาน ดวงตาอ่อนโยนของเธอที่สะท้อนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในเช้านี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เธอคงไม่รู้ตัวเลย…ว่าความคิดในนิยายของเธอนั้น กลับเป็นสิ่งที่เขาเองกำลังคิดอยู่ในใจ “ครับ…คงโรแมนติกมากเลย” เขาพูดตอบกลับเบาๆ แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง น้ำหวานหันมามองเขาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก “ขอบคุณนะคะ ที่มานั่งเป็นเพื่อน” ในช่วงเวลาที่หนาวเย็นนี้ หัวใจของทั้งสองคนกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้น…ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เพราะความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น ธามนั่งลงข้างๆ น้ำหวานบนโขดหิน รักษาระยะห่างไว้เล็กน้อย แต่พอเพียงที่จะสัมผัสถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกันได้ ทะเลหมอกที่ลอยละล่องอยู่เบื้องล่างสว่างขึ้นเรื่อยๆ ตามแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า “อากาศดีนะคะ” น้ำหวานพูดขึ้นพลางยิ้ม แต่เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง ธามพยักหน้าเบาๆ “ดีครับ… ดีจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้” น้ำหวานหันมามองเขาเล็กน้อย แววตาเธอสะท้อนความสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงหันกลับไปมองทะเลหมอกเบื้องหน้า ทั้งสองนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงลมพัดแผ่วและเสียงนกร้องเบาๆ ท่ามกลางธรรมชาติรอบตัวทำให้ทุกอย่างดูสงบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความคิดในใจของธามสงบตาม เขาคิดถึงคำพูดของเธอก่อนหน้านี้ ถ้าตรงนี้เป็นฉากการสารภาพรักของคู่รักคงโรแมนติกสุดๆ … คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวเขา แม้จะรู้ว่าเธอพูดเหมือนอยู่ในจินตนาการของตัวเอง แต่สำหรับเขา…ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันกลับรู้สึกเหมือนเป็นความจริง เขาแอบมองเธอจากหางตา เห็นเธอกอดตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความหนาว ใบหน้าที่อ่อนโยนและดวงตาที่มองออกไปอย่างมีความหวัง ทำให้หัวใจเขายิ่งเต้นรัว “คุณน้ำหวาน…” เขาเอ่ยชื่อเธอเบาๆ “คะ?” เธอหันมามองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความอ่อนโยน ธามลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ “คุณเขียนนิยายมากี่ปีแล้วครับ?” น้ำหวานหัวเราะเบาๆ “นานจนจำไม่ได้แล้วค่ะ แต่ถ้าจริงจัง…ก็น่าจะเกือบ 15 ปีได้มั้งคะ” ธามพยักหน้า เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “คุณดูเหมือนคนที่หลุดออกมาจากนิยายของตัวเองเลยนะ” น้ำหวานนิ่งไปครู่หนึ่ง คำพูดนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาด เธอหัวเราะเล็กน้อย “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” ธามยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น “หมายความว่า…คุณมีทั้งความสวย ความลึกซึ้ง และความพิเศษที่หาไม่ได้จากคนธรรมดาทั่วไป” น้ำหวานเบิกตากว้างเล็กน้อย ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด “พูดแบบนี้…ดูเหมือนตัวละครในนิยายจริงๆ นะคะ” ธามหัวเราะเบาๆ “นั่นสิครับ…บางทีคุณอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนสร้างตัวละครที่สมบูรณ์แบบก็ได้” น้ำหวานหันกลับไปมองทะเลหมอกอีกครั้ง เธอไม่พูดอะไรต่อ แต่รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเธอทำให้ธามรู้ว่า…เขาเพิ่งสร้างช่วงเวลาที่เธอจะไม่มีวันลืม ……………………………. เส้นทางลงจากจุดชมวิวทอดยาวผ่านป่าเขาที่อาบไปด้วยแสงแดดอ่อนของยามเช้า ลมหนาวพัดผ่านอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำหวานที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ตัวสั่นเล็กน้อย ธามที่เป็นคนขับพยายามรักษาความเร็วให้คงที่ แต่สายตาเขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่หางตา เขาเห็นมือของน้ำหวานที่จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าตัวเองจะพลัดตก ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง เขารู้สึกถึงแรงดึงเบาๆ จากมือเธอที่จับเสื้อไว้ และนั่นทำให้เขาตัดสินใจทำบางอย่าง เขาชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะเบาๆ ที่มือของเธอ “กอดไว้แน่นๆ นะครับ เดี๋ยวตกลงไปจะไม่รู้ด้วยนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม แต่เจือความเป็นห่วง น้ำหวานชะงัก ใบหน้าที่แดงจากความหนาวเริ่มร้อนขึ้นทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อยจากด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือกลับมา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจับเสื้อไว้ก็พอแล้ว…” เธอตอบเบาๆ แต่เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ไม่พอหรอกครับ” ธามพูดต่อ น้ำเสียงยังคงอ่อนโยน “เสื้อผมไม่ได้ช่วยพยุงคุณได้นะ แต่ถ้าคุณกอดผมไว้ คุณจะปลอดภัย” น้ำหวานลังเลเล็กน้อย หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา ความใกล้ชิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอคุ้นเคยเลย แต่เสียงของเขาและความมั่นคงในน้ำเสียงนั้นทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด เธอค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะโอบรอบเอวของเขาเบาๆ “แบบนี้…พอไหมคะ?” เธอถามเสียงแผ่ว ธามยิ้มมุมปาก แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็น เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “แน่นกว่านี้หน่อยครับ ลมแรงมากเลย” น้ำหวานเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ความเขินอายทำให้เธอหลบหน้าลงเล็กน้อย เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ภายในใจกลับสั่นไหว ธามรู้สึกถึงอ้อมแขนของเธอที่แนบชิดกับตัวเขา ความอบอุ่นเล็กๆ ที่ส่งผ่านมาทำให้เขารู้สึกบางอย่างในใจ…บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงขับมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ลมหนาวและแสงอาทิตย์นำทางเขาและเธอ ธามยังคงขับมอเตอร์ไซค์ต่อไปอย่างระมัดระวัง ลมหนาวพัดผ่านทั้งสองคน เส้นผมของน้ำหวานปลิวไสวตามแรงลม เธอยังคงกอดเอวเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทางลาดลงเริ่มคดเคี้ยว “กลัวไหมครับ?” ธามถามขึ้น น้ำเสียงนุ่มทุ้มยังคงเจือความเป็นห่วง น้ำหวานเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเบาๆ “นิดหน่อยค่ะ… แต่ก็ดีขึ้นแล้ว” ธามยิ้มบางๆ ขณะจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์แน่น เขารู้สึกถึงอ้อมแขนของเธอที่ค่อยๆ ผ่อนคลาย แต่ยังคงแนบชิดอยู่ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า การมีใครบางคนกอดเขาในระยะนี้ จะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่พวกเขาลัดเลาะผ่านโค้งอีกครั้ง เสียงนกร้องแว่วเข้ามาในสายลม และแสงแดดที่ส่องผ่านต้นไม้ก็เริ่มอุ่นขึ้น น้ำหวานเงยหน้าขึ้นมองธรรมชาติรอบตัว เธอเผลอพึมพำเบาๆ “ที่นี่สวยจังเลยนะคะ…” ธามหัวเราะเบาๆ “สวยจริงครับ… แต่วันนี้สวยกว่าทุกวัน” น้ำหวานหันมามองแผ่นหลังของเขาด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะคะ?” “เพราะวันนี้…มีคุณมาด้วยไงครับ” ธามพูดเบาๆ แต่คำพูดนั้นชัดเจนพอที่จะทำให้น้ำหวานหน้าแดง เธอเม้มปากแน่น รู้สึกทั้งเขินและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เมื่อใกล้ถึงแคมป์ น้ำหวานที่ค่อยๆ ผ่อนคลายลงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขำ “คุณธามขี่มอเตอร์ไซค์เก่งแบบนี้…มีแฟนเคยนั่งซ้อนเยอะไหมคะ?” คำถามนั้นทำให้ธามหัวเราะเบาๆ เขาตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่เลยครับ คุณน้ำหวานเป็นคนแรกที่ผมให้ซ้อนท้าย” คำตอบนั้นทำให้น้ำหวานชะงักไป ใบหน้าของเธอที่แดงอยู่แล้วดูเหมือนจะร้อนขึ้นไปอีก เธอรีบหลบหน้าลงซ่อนความรู้สึกของตัวเอง ธามมองภาพนั้นผ่านกระจกมองหลัง รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอคงไม่รู้ตัวเลย…ว่าการอยู่ใกล้เธอแบบนี้ทำให้หัวใจของเขาเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เมื่อมอเตอร์ไซค์จอดลงที่หน้าแคมป์ ธามดับเครื่องยนต์ น้ำหวานค่อยๆ ปล่อยมือจากเอวของเขา แต่ความอบอุ่นจากอ้อมแขนเล็กๆ นั้นยังคงติดอยู่ในใจเขา “ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เธอพูดพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปในแคมป์ ธามยืนอยู่ตรงนั้น มองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินห่างออกไป เขารู้สึกถึงความคิดที่สับสนในใจ นี่เขาเป็นอะไรไป? ทำไมถึงไม่อยากให้เธอเดินห่างไปจากเขาเลย ธามที่ยังยืนมองตามหลังน้ำหวานด้วยรอยยิ้มจางๆ รู้สึกถึงแรงตบมือหนักๆ ลงบนบ่าของเขา มั่นยืนอยู่ข้างหลัง ส่งสายตาเจ้าเล่ห์พลางยิ้มกว้าง “มองจนสุดสายตาแบบนั้น หมายความว่ายังไงฮะไอ้ธาม?” มั่นพูดแซว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขี้เล่น ธามยังคงยืนกอดอก อมยิ้มเล็กๆ โดยไม่ตอบอะไร แต่สายตาที่แวววาวของเขาก็เหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง มั่นหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “เอ็งอย่าบอกนะว่าชอบพี่เขาเข้าแล้ว” ธามยังไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นเล็กน้อย ความเงียบของเขาเหมือนเป็นคำตอบที่ดังพอ มั่นหัวเราะลั่น “เออๆ จะชอบ จะจีบก็ได้นะโว้ย แต่ว่า…” มั่นเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “เอ็งต้องผ่านด่านสี่อรหันต์ของพี่น้ำหวานให้ได้ก่อน!” ธามหุบยิ้มทันที ใบหน้าฉายแววสงสัย “อะไรวะ? สี่อรหันต์คืออะไร?” มั่นยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันหน้าไปทางด้านหลังธาม “เอ้า นั่นไง... สี่อรหันต์ของเอ็ง” ธามหันกลับไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น เขาก็เห็น จ๋าย เกด มีนา และชุน ยืนเรียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสี่คนยืนกอดอกแน่น สีหน้าจริงจัง แต่ในสายตาของแต่ละคนแฝงไปด้วยความขี้เล่น “พี่ธามต้องผ่านพวกเราก่อน ถึงจะเข้าใกล้พี่น้ำหวานได้” จ๋ายพูดขึ้นพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ขยับมือเหมือนกำลังยืดกล้ามเนื้อเตรียมพร้อม “ใช่เลย!” เกดพูดต่อ ขยับแว่นตาเล็กน้อย “เพราะเราไม่ปล่อยให้ใครมาทำให้พี่น้ำหวานเสียใจง่ายๆ หรอกนะ” มีนายืนเอียงตัวเล็กน้อย ท่าทางขี้เล่น “พี่ธาม… ถ้าคิดจะจีบพี่น้ำหวานจริงๆ ล่ะก็…พี่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้พวกเราดู!” ชุนที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จริงจัง “พี่น้ำหวานสำคัญกับพวกเรามาก… ถ้าคิดจะเข้าใกล้เธอ ต้องจริงใจเท่านั้น ไม่จีบเล่นๆ” ธามยืนกอดอก มองทั้งสี่คนด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “โอเค… ถ้าจะต้องผ่านพวกนายก่อน งั้นบอกมาสิ ต้องทำยังไงบ้าง?” มั่นที่ยืนข้างธามหัวเราะลั่นอีกครั้ง “เอ้า! ดีว่ะ! เอ็งนี่มันใจกล้าจริงๆ” จ๋ายยิ้มกว้าง “ง่ายๆ เลย… ข้อแรก พี่ต้องตอบคำถามพวกเราให้ผ่าน” “ข้อสอง” เกดพูดเสริม “ต้องยอมทำตามคำสั่งพวกเราหนึ่งอย่าง” “ข้อสาม…” มีนาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ต้องพาเราไปเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ” ธามหัวเราะเบาๆ “แล้วข้อสุดท้ายล่ะ?” ชุนที่ยืนกอดอกพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “ข้อสุดท้าย…ต้องแน่ใจว่าจะจริงจังแล้วค่อยจีบ ไม่ใช่มาเล่นๆ” ธามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ได้… ผมรับคำท้า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD