จะจีบเจ๊เรา ก็ต้องเตรียมตัวเด้อ

3209 Words
ธามที่ยังยืนยิ้มอยู่ ไม่ทันจะได้ตอบคำถามใดๆ ก็ถูก จ๋าย เกด มีนา และชุน ลากตัวไปยังโซนรับรองแขกที่อยู่ฝั่งรีเซฟชั่น ท่ามกลางเสียงแซวและหัวเราะของมั่นที่เดินตามมาห่างๆ พื้นที่รับรองแขกที่พวกเขาพากันไปนั้นเป็นลานกว้างที่สามารถมองเห็นวิวแบบ สามร้อยหกสิบองศา ทิวเขาที่เรียงราย ทะเลหมอกที่ค่อยๆ เลือนหาย และแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แต่บรรยากาศนั้นไม่ได้ช่วยให้ธามรู้สึกสบายใจขึ้นเลย เมื่อทั้งสี่คนผลัดกันรัวคำถามใส่เขาราวกับสายฟ้าแลบ “พี่ธาม!” จ๋ายเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่เป็นคนดัง แล้วจะมาจริงใจกับพี่สาวพวกเราจริงเหรอ?” เกดเสริมทันทีโดยไม่รอให้ธามตอบ “ใช่.... พี่มีแฟนหรือยัง? หรือมีเยอะแน่ๆ อยู่แล้ว คนดังแบบนี้ไม่น่าจะโสดหรอก...” มีนายิ้มขำๆ แต่ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน “พี่ธาม… ชอบพี่น้ำหวานตรงไหนคะ?” ชุนที่ยืนกอดอกเงียบๆ อยู่ท้ายกลุ่ม เสริมคำถามสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น “พี่แน่ใจเหรอว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่แค่ชั่วคราว?” ธามที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาลในโซนรับรอง มองหน้าทั้งสี่คนที่ยืนล้อมเขาอยู่ พลางหัวเราะเบาๆ เขาไม่ทันได้ตอบคำถามใดๆ เพราะคำถามใหม่ก็พุ่งเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับไม่ต้องการให้เขาได้หายใจ ในจังหวะนั้น มั่นเดินเข้ามาพร้อมถาดชากาแฟและขนมปังอบใหม่วางลงบนโต๊ะตรงกลาง “เอ้าๆ ใจเย็นกันหน่อยทุกคน” มั่นพูดขึ้นขณะยิ้มขำ “อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งกินหัวไอ้ธามแทนอาหารเช้าก็แล้วกัน” ทั้งสี่คนหัวเราะลั่น มีนาหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่ม เกดนั่งลงข้างๆ พลางหันไปมองธามอย่างจับผิด “งั้นก็ตอบมาสิ” ธามยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม “ผมเข้าใจนะครับ ว่าพวกคุณห่วงพี่น้ำหวาน แต่ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าผมจริงใจกับเธอ… ไม่ใช่เพราะว่าเธอสวยหรือเพราะผมเป็นคนดัง แต่เพราะเธอมีบางอย่างที่ผมไม่เคยเจอในใครมาก่อน” “แล้วพี่มีแฟนหรือเปล่า?” จ๋ายถามทันที น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ ธามหัวเราะเบาๆ “ไม่มีครับ… และผมก็ไม่เคยคิดจะมี จนกระทั่งได้เจอพี่น้ำหวาน” คำตอบนั้นทำให้ทั้งสี่คนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มีนาจะเอ่ยขึ้น “แล้วพี่มั่นใจเหรอว่าชอบพี่น้ำหวานจริงๆ?” ธามพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ผมมั่นใจครับ… และผมพร้อมจะพิสูจน์ให้พวกคุณเห็น ว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่แค่ชั่วคราว” ทั้งสี่คนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าเล็กๆ เกดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “งั้นพี่ต้องผ่านด่านพวกเราก่อนนะ ถ้าผ่านได้ เราจะเชื่อว่าพี่จริงใจ” ธามหัวเราะเบาๆ “ได้สิครับ… งั้นเริ่มเลยไหม?” โต๊ะอาหารเช้ายังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะ ทุกคนเริ่มจัดการกับชากาแฟและขนมปังที่มั่นเตรียมไว้ จ๋ายเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย “เอ… เจ๊น้ำหวานยังไม่มาเลย…” เขาพูดพลางหันไปมองธามที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ “พี่ธาม ตอนที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ่เจ๊พูดอะไรเหมือนประโยคในนิยายไหม?” ธามชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “เอ่อ… ก็มีคำนึงนะ…” “ว่าไงคะ?” เกดถามพร้อมเอนตัวไปข้างหน้าอย่างอยากรู้ ธามยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูด “เธอพูดว่า… ‘ฉากนี้โรแมนติก เหมาะกับสารภาพรักสุดๆ’ ” ทันใดนั้น ทุกคนที่โต๊ะมองหน้ากันพร้อมถอนหายใจเสียงดัง “อะ…อะไรครับ?” ธามถามพลางขมวดคิ้ว จ๋ายถอนหายใจหนักๆ ก่อนพูดขึ้น “อิเจ๊ได้พล็อตนิยายใหม่แล้ว…” “แล้วจะไม่ออกจากห้องไปอีกวันสองวันแน่นอน” เกดเสริมพลางยิ้มขำ มีนาพยักหน้า “นี่มันสูตรสำเร็จของเจ่เจ๊เราชัดๆ! ทุกครั้งที่เธอได้ไอเดียใหม่ เราก็ต้องเตรียมตัวอดเจอเธอไปหลายวัน…” ธามที่ยังงงกับสถานการณ์อยู่มองหน้าทุกคน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ?” จ๋ายยิ้มเจ้าเล่ห์พลางตบมือฉาด “เกี่ยวสิพี่ธาม! นี่เป็นบททดสอบของพี่!” ธามขมวดคิ้วหนักขึ้น “บททดสอบอะไรครับ?” มั่นหัวเราะพลางวางแก้วกาแฟลง “เอ้า พวกแกว่ามาเลยสิ” เกดยิ้มกว้าง “ง่ายๆ เลยค่ะ พี่ธามต้องไปส่งข้าวส่งน้ำให้เจ่เจ๊สามเวลา—เช้า เที่ยง เย็น” “และต้องให้เธอกินหมดด้วย!” มีนาเสริมพร้อมหัวเราะคิกคัก “ถ้ากลับมาเหลือ…ถือว่าไม่ผ่านนะครับ!” จ๋ายพูดพร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นอย่างจริงจัง ธามที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์หันไปมองมั่นที่ยืนส่ายหน้าเหมือนจะเตือนเขา “เธอจะไม่ยอมออกจากห้องจนกว่าจะเขียนไปได้ถึงครึ่งทางของพล็อตใหม่…” “และเมื่อเขียนโหด เขียนหนักแบบนี้ เธอจะลืมกิน ลืมดื่มน้ำ ลืมทุกอย่าง!” ชุนพูดขึ้นเป็นครั้งแรก สีหน้าเขาเรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ธามมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่พวกคุณจะบอกว่า…น้ำหวานเข้าสู่โหมดวิญญาณนักเขียนสินะครับ?” “ใช่เลย!” จ๋ายพูดพร้อมหัวเราะลั่น “นี่มันเหมือนตอนสมัยก่อน ที่พวกเราต้องเกือบงัดประตูห้องพาเธอออกมาน่ะสิ!” ธามมองพวกเขา ก่อนจะยิ้มมุมปาก “งั้นก็…ลองดูสิครับ ผมจะผ่านด่านนี้ให้ได้” ทั้งกลุ่มหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน “เอาสิ! แล้วเราจะดูว่าพี่ธามจะรอดไหม!” มั่นที่ยืนมองภาพตรงหน้าส่ายหัวพลางหัวเราะเบาๆ ‘ไอ้ธามเอ๊ย… เอ็งยังไม่รู้เลยว่านี่มันบททดสอบที่ยากที่สุดของเอ็งแล้วล่ะ’ ช่วงสายของวัน มั่นเดินมาหาธามพร้อมถาดอาหารเช้าที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย ขนมปังไข่ดาว น้ำผลไม้ และกาแฟหอมกรุ่น “เอ้า เอ็งเริ่มเลย!” ธามมองถาดอาหารในมือ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ได้สิ…เดี๋ยวผมจะไปส่งให้เธอเดี๋ยวนี้” จ๋ายที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่ธาม สู้ๆ นะครับ อย่าลืมนะ ถ้าอาหารเหลือกลับมา…ไม่ผ่าน!” “ใช่เลย!” เกดเสริมพร้อมหัวเราะคิกคัก “เราจะคอยเช็กนะ!” ธามเดินมาถึงหน้าห้องของน้ำหวาน เขายกมือขึ้นเคาะเบาๆ “คุณน้ำหวาน… ผมเอาอาหารเช้ามาให้ครับ” ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบรับ ธามลองเคาะอีกครั้ง และในที่สุด เสียงเบาๆ ที่เหมือนหลุดออกมาจากห้วงความคิดดังขึ้น “อืม…วางไว้หน้าประตูได้เลยค่ะ…” ธามขมวดคิ้ว “ไม่ได้ครับ! คุณต้องเปิดประตูมากินเดี๋ยวนี้” เสียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำหวานจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันไม่หิวค่ะ… คุณวางไว้ได้เลย…” ธามยิ้มมุมปาก นี่ไง…เริ่มแล้ว เขาหายใจลึก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ผมไม่วางไว้ครับ ถ้าคุณไม่เปิดประตู ผมจะยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะออกมา” ในที่สุด ประตูค่อยๆ แง้มออก น้ำหวานในชุดลำลอง สวมแว่นตา ผมยุ่งเล็กน้อยจากการนั่งเขียนงาน เธอขมวดคิ้วมองเขา “คุณนี่มัน…ดื้อจริงๆ เลยนะคะ” ธามหัวเราะเบาๆ “ถ้าคุณเรียกว่าดื้อ ก็ใช่ครับ ผมดื้อ…เพราะอยากให้คุณกินข้าว” น้ำหวานมองถาดอาหารในมือเขา ก่อนจะถอนหายใจยาว “ก็ได้ค่ะ… วางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวฉันกิน” “ไม่ครับ” ธามตอบทันที “ผมจะนั่งรอจนกว่าคุณจะกินหมด” น้ำหวานมองเขาด้วยสายตาผสมระหว่างความหงุดหงิดและขบขัน “คุณนี่มัน…ยิ่งกว่านิยายที่ฉันเขียนอีก” ในที่สุด น้ำหวานก็ยอมถอยไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ในห้อง พร้อมกับหยิบช้อนมาทานไข่ดาว ธามยืนมองเธอด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จับจ้องเธออย่างอดทน “คุณจะยืนอยู่แบบนี้จริงๆ เหรอ?” น้ำหวานถามขณะจิ้มขนมปังเข้าปาก “ครับ” ธามตอบเรียบๆ “จนกว่าคุณจะกินหมด” น้ำหวานถอนหายใจ แต่ยิ้มเล็กๆ ขณะค่อยๆ จัดการอาหารบนถาด เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่รู้สึกถึงบางอย่างในใจที่อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ภายนอกห้อง… จ๋ายและเกดที่แอบมองอยู่จากมุมโถงทางเดินหัวเราะคิกคัก “พี่ธามนี่เอาจริงว่ะ!” มีนาหัวเราะตาม “ดูเหมือนเขาจะรอดมื้อเช้านะ…แต่ยังเหลืออีกสองมื้อ!” ชุนที่ยืนอยู่เงียบๆ ยิ้มเล็กๆ “บางที…เขาอาจจะทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ก็ได้” มั่นเดินมาสมทบ มองภาพตรงหน้าพลางส่ายหัว “เฮ้อ…พวกแกนี่มันใจร้ายกับไอ้ธามจริงๆ แต่ก็นะ…ถ้าเขาผ่านได้ทุกด่าน กูว่ามันคงเป็นคนที่ใช่สำหรับน้ำหวานจริงๆ” หลังจากที่ธามผ่านมื้อเช้าไปได้อย่างฉิวเฉียด มื้อเที่ยงกลับกลายเป็นสนามรบใหม่ที่ยิ่งกว่าความสงบเมื่อเช้า มั่นยื่นถาดอาหารให้ธามอีกครั้ง คราวนี้เป็นชุดข้าวสวยพร้อมกับอาหารสามอย่างที่ดูหนักกว่ามื้อเช้า ธามมองถาดในมือแล้วหันไปมองมั่นด้วยสีหน้าที่ไม่แน่ใจ “อาหารเยอะขนาดนี้ คุณน้ำหวานจะกินหมดจริงๆ เหรอ?” ธามถามพลางขมวดคิ้ว มั่นหัวเราะ “นั่นล่ะคือความท้าทาย เอ็งต้องทำให้เธอกินหมดให้ได้ ไม่งั้นพวกนั้นนับว่าเอ็งไม่ผ่านแน่ๆ” ธามถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้า “โอเค…” เมื่อเขามาถึงหน้าห้องของน้ำหวานอีกครั้ง ธามสูดลมหายใจลึกก่อนจะเคาะประตู “คุณน้ำหวาน…ผมเอามื้อเที่ยงมาให้ครับ” ครั้งนี้กลับไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ ธามขมวดคิ้ว ก่อนจะลองเคาะอีกครั้ง “คุณน้ำหวาน? ผมรู้ว่าคุณอยู่ในนั้น…” ยังคงเงียบเหมือนเดิม ธามหันมองรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ แง้มประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้าไป ภาพแรกที่เขาเห็นคือห้องที่เต็มไปด้วยแผ่นกระดาษ พล็อตที่เขียนด้วยลายมือ กระดาษโน้ตสีสดติดอยู่รอบห้อง ราวกับห้องนี้คือสนามรบของนักเขียนที่แท้จริง และที่โต๊ะทำงาน น้ำหวานกำลังจดจ่ออยู่กับคีย์บอร์ด คิ้วขมวดแน่น ใบหน้าดูเคร่งเครียดราวกับไม่ได้ยินเสียงโลกภายนอก ธามยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป “คุณน้ำหวาน!” เขาเรียกเสียงดังขึ้น น้ำหวานสะดุ้ง หันมามองเขาด้วยสายตาที่ดูเบลอเหมือนเพิ่งกลับมาจากอีกโลกหนึ่ง “อะ…คุณอีกแล้วเหรอ” เธอพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “ใช่ครับ…ผมอีกแล้ว” ธามพูดพลางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะที่ว่างอยู่ “คุณต้องกินข้าวนะครับ” น้ำหวานถอนหายใจยาว “ฉันไม่หิวค่ะ…คุณไม่เข้าใจหรอก เวลานี้มันเป็นช่วงที่ไอเดียกำลังมา ถ้าหยุด…มันจะหลุดไปหมด” ธามมองเธอด้วยสายตาที่หนักแน่น “แล้วถ้าคุณไม่มีแรง จะเขียนต่อได้ยังไงล่ะครับ?” น้ำหวานมองเขาด้วยสายตาเหนื่อยล้า “คุณนี่มัน…ดื้อจริงๆ” “ถ้าคุณเรียกว่าดื้อ ก็ใช่ครับ” ธามพูดพลางหยิบจานข้าวขึ้นมา ก่อนจะยื่นช้อนให้เธอ “กินก่อน แล้วค่อยเขียนต่อ” “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่หิว!” น้ำหวานพูดพร้อมขมวดคิ้ว น้ำเสียงเริ่มมีความหงุดหงิด ธามยืนมองเธอ ก่อนจะถอนหายใจยาว “งั้น…ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะกินหมด” น้ำหวานมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะยอมแพ้และหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน แต่ก็รู้ว่าธามคงไม่ยอมออกไปง่ายๆ เธอหยิบช้อนขึ้นมาช้าๆ จิ้มข้าวเข้าปากอย่างไม่เต็มใจ แต่เพียงคำแรก เธอก็วางช้อนลง “ฉันกินไม่หมดหรอกค่ะ…มันเยอะเกินไป” “งั้นผมจะช่วยคุณกิน” ธามพูดเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบช้อนอีกคันขึ้นมา “นี่คุณจะบังคับฉันเหรอ!” น้ำหวานพูดพร้อมมองเขาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ไม่ใช่บังคับครับ…ผมแค่ไม่อยากให้คุณลืมดูแลตัวเอง” ธามตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง การต่อสู้ระหว่างน้ำหวานและธามในมื้อเที่ยงนี้กินเวลานานกว่าที่คิด แต่สุดท้าย…เมื่อจานสุดท้ายหมดลง ธามยิ้มบางๆ พลางหยิบถาดขึ้นมา “เห็นไหมครับ…คุณทำได้” เขาพูดพร้อมยิ้ม น้ำหวานที่นั่งพิงเก้าอี้ถอนหายใจยาว แต่เธอก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย “คุณนี่มัน…” เธอส่ายหัวเบาๆ “ดื้อจริงๆ” ค่ำคืนที่อากาศเย็นลง ธามเดินถือถาดอาหารมื้อค่ำมาที่หน้าห้องของน้ำหวานอีกครั้ง คราวนี้ถาดอาหารเต็มไปด้วยแกงร้อน ข้าวสวย และผลไม้ที่มั่นจัดให้ดูน่ารับประทานที่สุด ธามยืนอยู่หน้าประตูห้องของน้ำหวาน สูดลมหายใจลึกก่อนจะเคาะประตูเบาๆ “คุณน้ำหวานครับ… ผมเอาอาหารมื้อค่ำมาให้” ไม่มีเสียงตอบรับ เขาเคาะอีกครั้ง คราวนี้หนักขึ้น “คุณน้ำหวาน? ผมรู้ว่าคุณอยู่ข้างในนะครับ” เงียบเหมือนเดิม ธามขมวดคิ้ว ก่อนจะลองเอ่ยเสียงดังขึ้น “คุณน้ำหวาน! คุณต้องกินข้าวนะครับ!” เงียบอีกครั้ง ราวกับในห้องไม่มีใครอยู่ เขามองถาดอาหารในมือแล้วตัดสินใจวางมันลง ก่อนจะลองหมุนลูกบิดประตู ยังไม่ได้ล็อก… เขาค่อยๆ แง้มประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือความมืดสลัว ไฟในห้องเปิดเพียงโคมเล็กๆ ที่โต๊ะทำงาน น้ำหวานนั่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางกองกระดาษและโน้ต เธอยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียด คิ้วขมวดแน่น ราวกับกำลังต่อสู้กับพล็อตในหัวของเธอ “คุณน้ำหวาน!” ธามเรียกเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ตอบ ยังคงก้มหน้าพิมพ์ต่อไปเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ธามเดินเข้าไปใกล้จนยืนอยู่ข้างโต๊ะ “คุณน้ำหวาน! ผมถามว่าทำไมถึงไม่ตอบผม!” เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า ดวงตาแดงก่ำจากการจ้องหน้าจอนานเกินไป “คุณนักร้องดัง…จะมายุ่งอะไรกับชีวิตของฉันนักหนาคะ?” คำพูดนั้นทำให้ธามชะงัก เขาเผลออ้าปากค้าง แต่ทันทีที่ตั้งสติได้ เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะผมเป็นห่วงคุณไงครับ! คุณไม่กินอะไรเลยแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพ!” น้ำหวานยิ้มบางๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและไม่ใส่ใจ “ถ้าฉันอดตาย…มันก็เป็นเรื่องของฉันค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับ” ธามก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใจเขาเต้นแรงด้วยความสับสนและความไม่พอใจ “คุณจะบอกว่าชีวิตของคุณไม่มีความสำคัญเหรอ?” น้ำหวานหลับตาลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สำหรับฉันตอนนี้ สิ่งสำคัญคือพล็อตในหัว ไม่ใช่ชีวิตของฉัน” ธามนิ่งไป ใจเขารู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยคำพูดเหล่านั้น เขามองเธอที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนเธอจะปิดกั้นทุกสิ่งรอบตัว เขาไม่เคยเจอใครที่ทำร้ายตัวเองทางอ้อมแบบนี้มาก่อน “คุณน้ำหวาน…” ธามพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป มันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความจริงใจ “คุณรู้ไหมว่าคุณทำร้ายตัวเองอยู่?” น้ำหวานยังคงไม่ตอบ “ผมรู้ว่าการเขียนนิยายสำคัญสำหรับคุณ” เขาพูดต่อ “แต่คุณรู้ไหมว่าถ้าคุณล้มลงไปตอนนี้…พล็อตในหัวคุณจะไม่มีวันสำเร็จ” เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังไม่พูดอะไร “กินข้าวก่อนเถอะครับ…” ธามพูดพร้อมกับหยิบจานขึ้นมา “ถ้าคุณไม่อยากกิน ผมจะป้อนให้” น้ำหวานเงยหน้าขึ้นมองเขา เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความจริงใจ เธอถอนหายใจยาวก่อนจะยื่นมือออกไปรับจานนั้นมาอย่างช้าๆ “ฉันจะกิน…” เธอพูดเสียงแผ่ว “แต่แค่คำเดียว” “ไม่พอครับ” ธามตอบทันที “คุณต้องกินให้หมด” น้ำหวานส่ายหัวเบาๆ แต่ก็เริ่มตักข้าวเข้าปากทีละคำ ขณะที่ธามยังคงยืนคะยั้นคะยอให้น้ำหวานกินข้าว ในมุมมืดไม่ไกลจากห้องของเธอ ทั้งสี่คน—จ๋าย เกด มีนา และชุน—ยืนซ่อนตัวกันอยู่ สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องที่แง้มไว้อย่างเงียบๆ “นี่พี่ธามเขา…จริงจังขนาดนี้เลยเหรอวะ?” จ๋ายกระซิบพลางหรี่ตามอง เกดพยักหน้าเบาๆ “ฉันเองก็เริ่มสงสัยแล้วนะ… เขาเป็นนักร้องดังเลยนะ ไม่เห็นต้องมาเหนื่อยกับอะไรแบบนี้เลย” “แต่ดูสิ เขายังไม่ยอมถอย” มีนาเสริม น้ำเสียงแฝงความทึ่ง “เขามายืนเถียงกับเจ่เจ๊อยู่แบบนั้นตั้งแต่เช้า แล้วนี่ก็ยังไม่ถอดใจ” ชุนที่ยืนกอดอกอยู่ท้ายสุด ถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีน้ำหนัก “หรือบางที…เขาอาจจะจริงใจจริงๆ” ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความคิดที่วกวน จ๋ายกระซิบเบาๆ “พี่ธามเขาอาจจะเป็นพวกที่มองเห็นอะไรในตัวเจ่เจ๊ที่คนอื่นไม่เห็นก็ได้…” “หรือเขาอาจจะบ้าไปแล้ว” เกดพูดขำๆ แต่ก็แฝงความกังวล “เพราะคนปกติที่ไหนจะมายืนทนดูพี่น้ำหวานโหดแบบนี้” “เอาเถอะ!” มีนากระซิบพร้อมยิ้ม “ถ้าเขาผ่านบททดสอบนี้ได้จริงๆ ฉันอาจจะยอมให้โอกาสเขานะ” ทั้งสี่คนเฝ้าดูต่อไป ขณะที่ในห้อง ธามยังคงยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของน้ำหวาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “คุณต้องกินอีกสองคำครับ” ธามพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “นี่ฉันกินไปเกินครึ่งแล้วนะ!” น้ำหวานเถียงกลับด้วยความหงุดหงิด “ครับ…แต่มันยังไม่หมด” เขายิ้มเล็กๆ “และผมสัญญากับเพื่อนๆ คุณไว้ว่าผมจะทำให้คุณกินหมด” “โห…” จ๋ายพึมพำในมุมมืด “เขามีความอดทนขนาดนี้เลยเหรอวะ?” “ฉันเริ่มอยากรู้แล้วว่าเขาจะทนไปได้ถึงเมื่อไหร่” เกดพูดพลางพิงกำแพง “หรือบางทีเขาอาจจะทำให้เจ่เจ๊เปลี่ยนใจจริงๆ ก็ได้นะ” “ฉันว่าถ้าเขายังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ…” มีนาหันมามองทุกคน “เขาอาจจะผ่านด่านของพวกเราจริงๆ ก็ได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD