“You see I never stopped loving you, even though I couldn’t see you.”
-The End Of The Affair-
(เธอก็รู้ ฉันไม่เคยหยุดรักเธอเลย แม้ฉันไม่สามารถเห็นเธอได้ก็ตาม)
‘เรื่องนี้...’
‘อย่าคิดมากสิษา...ถ้าหนูจันทร์ไม่ยินยอมพวกเราก็จะไม่บังคับ’ วราลีเอ่ยบอกกับร่างบางตรงหน้าอย่างเข้าใจ
‘ถ้าจันทร์ตกลงษาคงสบายใจมากกว่านี้’
‘หมายความว่ายังไง’ วราลีเอ่ยถามเพื่อนรักออกไปอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ ในตอนแรกเธอคิดว่าสุพรรษาจะลำบากใจที่เธอขอหนูจันทร์เจ้าให้กับพันทิวาลูกชายของเธอซะอีก...
‘ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วมากจนษากับคุณกรณ์ตั้งตัวไม่ทัน ษาคิดว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลค่ะ และด้วยนิสัยของจันทร์เจ้าถ้าไม่พาเธอไปอยู่ที่อื่นเธอไม่มีทางปล่อยมือจากเรื่องนี้ง่ายๆ อย่างแน่นอน’
‘…/…’
‘ษากลัวลูกจะไม่ปลอดภัยน่ะค่ะ’
‘กลับบ้านเรากันไหม ที่นั่นตอนรับษากับหนูจันทร์เสมอเลยนะ’ วราลีเอ่ยบอกกับเพื่อนรักเสียงอ่อนพร้อมกับดึงร่างบางตรงหน้ามากอดอย่างหลวมๆ วราลีกับสุพรรษาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ พ่อแม่ของสุพรรษาย้ายเข้ามาตั้งรกรากอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของวราลี ตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่ก็ได้รู้จักกันและสนิทกันอย่างรวดเร็วด้วยนิสัยที่คล้ายกันจึงทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอแน่นแฟ้นมาจนถึงทุกวันนี้
‘ษาก็คิดว่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่คงต้องรอให้คุณกรณ์หายดีก่อนน่ะ’
‘เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงพี่จะจัดการให้เอง’ พันแสงที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น ก่อนจะมองไปยังร่างบางตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง
‘ษาเกรงใจ...’
‘ไม่เอาสิ...ถ้าไม่ได้ษาในวันนั้นลีกับแสงก็คงไม่มีวันนี้หรอกนะ ษายังจำคำที่เคยพูดไว้กับลีได้ไหม ‘เราเป็นเพื่อนรักกันเรื่องแค่นี้เพื่อนช่วยเพื่อนได้เสมอ’ ลีจำได้นะ จำได้ไม่เคยลืมเลย’
‘…’
‘ในวันนั้นทุกคนหันหลังให้กับลีและแสงมีเพียงษาคนเดียวที่อยู่ข้างลี และวันนี้ลีก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน’
‘ขอบใจมากนะ’
...
-ไร่พันแสง จังหวัดเชียงใหม่-
“พ่อกับแม่หายไปไหนกันมาครับ ทิโทรไปตั้งหลายสายก็ไม่รับ รู้ไหมว่าทิเป็นห่วง” ทันทีที่พันแสงและวราลีรถมาจากรถ พันทิวาลูกชายคนโตซึ่งตอนนี้รับช่วงต่อดูแลไร่พันแสนแทนพวกเขาก็บ่นเสียงยกใหญ่ ทั้งสองยังไม่ทันได้นั่งพักให้หายเหนื่อยจากการขับรถมาหลายร้อยกิโลเลยก็ต้องมาฟังลูกชายบ่นเสียแล้ว
“กลัวลูกชายจะขึ้นคาน พ่อกับแม่ก็เลยไปหาเมียให้ลูกชายมาครับ” วราลีเอ่ยบอกกับลูกชายของเธอด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับจิบน้ำเปล่าเย็นๆ ในแก้วตรงหน้าของเธอไปด้วย
“ห๊ะ? พูดเป็นเล่นทิไม่แต่งครับ พ่อกับแม่บังคับทิไม่ได้หรอก”
“กับหนูจันทร์เจ้าลูกสาวน้าสุพรรษาแกก็ไม่อยากแต่งงั้นสิ” พันแสงพูดขึ้นอย่างรู้ทันพร้อมกับมองไปยังลูกชายคนโตอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพันทิวาที่ชะงักนิ่งงันไปทันทีที่ได้ยินชื่อเธอคนนั้น เขาก็อดขำออกมาไม่ได้ ถึงคนอื่นจะไม่รู้ว่าทำไมทิวาถึงเป็นอย่างนี้ แต่เขาเป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มาเองกับมือทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าลูกชายของเขาคิดอะไรอยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?” พันทิวาเอ่ยถามพ่อกับแม่ของเขาออกไปด้วยความสงสัย ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ตรงหน้าของทั้งสองคน
พันแสงและสุพรรษาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของจันทร์เจ้าให้กับลูกชายฟังทั้งหมด สำหรับวราลีแล้วขอเพียงลูกชายเธอยอมแต่งงานเพื่อช่วยครอบครัวของเพื่อนรักเพียง 1 ปีรอให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย แล้วจากนั้นเด็กทั้งสองคนจะตัดสินใจยังไงเธอก็จะไม่บังคับทั้งนั้น ที่สำคัญเธอมั่นใจว่ายังไงพันทิวาลูกชายของเธอไม่มีทางทำร้ายจันทร์เจ้าเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่เข้าหาหลานสาวของเธอในตอนนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าลูกไม่อยากแต่งแม่จะหา...”
“แต่งก็แต่งสิครับ” พันทิวาเอ่ยบอกกับพ่อแม่ของเขาเสียงเรียบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจของเขากำลังทำงานหนักขนาดไหน
“หึหึ”
“แม่นอนคิดทั้งคืนเลยว่าจะพูดยังไงให้ลูกยอมแต่งเพื่อช่วยหนูจันทร์ ไม่คิดว่าลูกจะตอบตกลงง่ายขนาดนี้”
“แล้วยัยหัวเน่าจะยอมแต่งงานกับทิเหรอครับ” ร่างสูงเอ่ยถามคุณแม่ของเขาออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สายตากลับจ้องไปที่ร่างบางตรงหน้าเพื่อรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ตาทิอย่าไปเรียกแบบนี้ให้น้องได้ยินนะ หนูจันทร์ของแม่โตเป็นสาวแล้วสวยมากด้วย หัวเน่าอะไรกัน...”
“ตอบคำถามของทิก่อนสิครับ”
“น้องตอบตกลงแล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้แม่กับน้าษาจะไปหาพระอาจารย์ที่วัด หาฤกษ์งามยามดียิ่งไวยิ่งดี” วราลีเอ่ยบอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงสดใจ ถึงนี้จะเป็นการแต่งงานหลอกๆ แต่เธอก็แอบหวังอยู่นิดๆ ว่าเด็กทั้งสองคนจะตกหลุมรักและสร้างครอบครัวด้วยกันจริงๆ ในสักวัน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทิขอไปดูน้องแตงไทก่อนนะครับ” พูดจบพันทิวาก็เดินออกมาจากบ้านใหญ่ของตัวเองทันทีโดยไม่ถามอะไรผู้เป็นพ่อและแม่ของเขาต่อ
พันทิวาเดินมาขึ้นรถจี๊ปคันใหญ่ของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะขับออกไปทันทีพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“15 ปีแล้วสินะ”
‘เป็นอะไรของมึง?’ ขุนศึกเอ่ยถามพันทิวาออกมาเสียงเรียบก่อนที่ฝาแฝดอย่างเสือและสิงเพื่อนรักของเขาทั้งคู่จะเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงของขุนศึก พร้อมกับจ้องมองไปยังร่างสูงที่มาใหม่เป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ
ก่อนหน้านี้พวกเขารู้เพียงว่าพันทิวาจะไปสารภาพรักกับสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ชื่อว่า ‘จันทร์เจ้า’ ถึงเธอคนนั้นจะเป็นคู่กัดกับทิวาเพื่อนรักของพวกเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอคนนั้นได้หัวใจทั้งดวงของผู้ปากปีจอคนนี้ไปเต็มๆ
‘มึงไปสารภาพรักกับน้องจันทร์เจ้าไม่ใช่เหรอวะ?’
‘แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มีสภาพแบบนี้กลับมาล่ะเนี่ย?’
เสือเอ่ยถามขึ้นก่อนที่สิงจะเอ่ยถามสมทบด้วยอีกคน ทั้งสามคนมองไปยังทิวาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างรอฟังคำตอบ ทิวาเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
‘เฮ้ออออ!!’
‘อยากพูดก็พูดออกมาไอ้ทิ’ ขุนศึกเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกมาอย่างกับคนที่พอจะเดาความรู้สึกของเพื่อนรักออก...
‘ไปแล้ว’
‘อะไรวะ’ เสือเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ทิวาพูดออกมา
‘จันทร์เจ้าเธอไปแล้ว’
‘ไปไหนวะ’
‘ไปกรุงเทพ’
‘เชี้ย!/…/…’ เพื่อนทั้งสามคนมองมาที่พันทิวาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูจากหน้าของเพื่อนรักแล้วทำให้พวกเขารู้ว่ามันไม่น่าพูดเล่นอย่างแน่นอน
‘เอาน่า...ถ้าคู่กันจริงต่อให้น้องจันทร์เจ้าไปไกลจากมึงเท่าไหร่ สุดท้ายโลกก็จะเหวี่ยงเธอกลับมาให้มึงอยู่ดี แต่ถ้าเธอไม่กลับมาก็ยอมรับความจริงและใช้ชีวิตของมึงต่อไปซะ’ ขุนศึกเอ่ยบอกกับพันทิวาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับบีบไหล่แกร่งของร่างสูงตรงหน้าเบาๆ อย่างต้องการให้กำลังใจ
“ในเมื่อเธอวนกลับมาเป็นของฉันแล้ว ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไปอีก...ยัยหัวเน่าของฉัน” พันทิวาหยิบแว่นตากันแดดที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาใส่ ก่อนจะขับรถไปยังฟาร์มโคนมของเขาที่อยู่ไม่ไกล