ผมเหยียบมันแตกไปแล้วครับ
ตอนที่ 1
ณ ห้างสรรพสินค้าซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินสวนผ่าน รอบกายเต็มไปด้วยความวุ่นวาย บ้างก็พาครอบครัวมาเที่ยวจับจ่ายซื้อของ บ้างก็พาคนรักมาหวานชื่นด้วยการดูหนัง
ผู้คนโดยรอบดูเหมือนจะมาที่นี่ด้วยความสุข ยกเว้น ‘นิรันดา’ หญิงสาวร่างเล็กภายใต้กรอบแว่นหนาสีดำเงา สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสุภาพและกระโปรงยาวคลุมข้อเท้าพลิ้วสลวย เมื่อเธอมาที่นี่ด้วยความหวังแต่กำลังห่อเหี่ยวหัวใจจนไม่มีแรงเดินไปข้างหน้า
หญิงสาวเดินคอตกไปตามทางเดินด้วยความรู้สึกมากมายหลายหลาก ห่อเหี่ยว สิ้นหวัง เบื่อหน่าย หรือท้อใจ ทุกอย่างปะปนจนนิรันดาไม่รู้ว่าควรจะรับรู้สิ่งไหนก่อน
วันนี้เธอเดินทางไปสมัครงานจนไม่เหลือที่ไหนให้ยื่นเอกสาร บริษัทไหนที่ประกาศรับสมัครทั้งบนอินเทอร์เน็ตหรือหน้าหนังสือพิมพ์ เธอไปจนทั่วด้วยความมุ่งมั่น แต่เมื่อมีการเรียกสัมภาษณ์กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลต่าง ๆ หรือบางที่ยังไม่ทันได้ยื่นใบสมัคร พนักงานของบริษัทนั้น ๆ ก็แนะนำให้เธออย่าเสียเวลา เป็นการบอกว่า ‘ยื่นไปเปลืองกระดาษเปล่า ’
เย็นของวันที่หญิงสาวเหนื่อยจนล้า เธอแทบจะไปไม่ถึงห้องพักทั้งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เรี่ยวแรงกลับมาเล็กน้อยก่อนหน้านี้เมื่อบิดาโทร.มานัดทานข้าวด้วยกัน เธอสุขใจราวกับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต คิดดีใจที่วันห่วยแตกก็มีเรื่องดีอยู่ไม่น้อย เพราะบิดาของเธอจะเยียวยาความรู้สึกได้บ้าง
แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงร้านอาหารที่บิดาบอกไว้ ร่างบางก็ต้องหยุดนิ่งราวกับถูกสาป เพราะบิดาของเธอนั้นไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับภรรยาใหม่และลูกสาว มาพร้อมกับครอบครัวซึ่งนิรันดาไม่เคยเข้าไปแทรกกลางได้ หรือในความเป็นจริงเธอถูกผลักให้ออกจากครอบครัวของบิดานานแล้ว
ความเหนื่อยที่แบกรับมาตลอดทั้งวันดูเหมือนจะหนักไปกว่าเก่า กระนั้นเจ้าตัวก็ยังพยายามยิ้มให้กับวันแย่ ๆ ยิ้มให้กว้างแม้จะฝืน
เธอไม่พร้อมจะเข้าไปหาบิดาในเวลานี้แล้วทะเลาะกัน การมีปากเสียงที่นิรันดาน่าจะชินได้แล้ว แต่จะมีลูกคนไหนบ้างที่ชินชากับสิ่งเหล่านั้น จะมีใครชินชากับการไร้ซึ่งความรักจากครอบครัว คงมีเธอคนเดียวที่พยายามชินมาตลอด
นิรันดาตัดสินใจโทร.ไปบอกคนเป็นพ่อว่า ‘หนูเพิ่งทำงานวันแรก ไปกินข้าวกับพ่อไม่ได้ ขอโทษค่ะ’ นั่นคือสิ่งที่ทำได้เพื่อยื้อความสัมพันธ์ฉันครอบครัว
หญิงสาวเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องเดินไปข้างหน้าในแต่ละวัน เธอเฝ้ารอการเรียนจบปริญญาตรีมาตลอด เฝ้าคอยการได้รับผิดชอบชีวิตตัวเองโดยไร้บุพการี เธออยากไปจากชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ ชีวิตที่เหมือนไม่มีครอบครัวอยู่จริง
บิดาและมารดาแยกทางกันเมื่อเธออายุได้สิบห้าปี ตอนนั้นเธอต้องเลือกว่าจะอยู่กับใครระหว่างพ่อและแม่ การเลือกที่ไม่มีลูกคนไหนอยากจะตัดสินใจ เพราะหากสามารถเลือกได้จริง ๆ เธออยากอยู่กับทั้งสองคน
แต่เมื่อต้องเลือกจริง ๆ จึงมีคำตอบเป็นพ่อ
เพราะความสงสารหรือไม่ที่แม่นอกใจมีคนอื่น หรือเพราะเธอไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศ ไม่อยากทำความรู้จักกับสามีใหม่ของแม่ที่ร่างโตราวกับยักษ์
เธอเองก็ไม่แน่ใจความรู้สึกตอนนั้น
มีเพียงความอ้างว้างของเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังจะไร้ครอบครัวอย่างถาวร ไร้ซึ่งความรักจากคนที่ให้กำเนิด และไร้ใครเหลียวแล
ชีวิตของนิรันดาหลังจากนั้นเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้กลางภูเขาที่หนาวเหน็บ มีเพียงสองแขนของตัวเองที่กอดประคองให้นอนหลับไปได้ และมีน้ำตาที่รินไหลออกมาซ้ำ ๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้อยู่เป็นเพื่อน
มารดาบินไปต่างประเทศกับสามีใหม่หลังจากการตัดสินใจของเธอไม่นาน ส่วนบิดาแต่งงานใหม่มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในปีเดียวกันทั้งที่นิรันดายังตั้งสติประคองชีวิตตัวเองไม่ได้
พ่อและแม่มีครอบครัวใหม่เป็นของตัวเอง ขณะที่นิรันดากลายเป็นคนไม่เหลือใคร นั่นคือชีวิตของหญิงสาวหลังจากเกิดรอยร้าวในครอบครัว
ไม่นานหลังจากที่ภรรยาใหม่ของบิดาตั้งครรภ์ นิรันดาก็ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำด้วยเหตุผลจากบิดาว่า ‘ที่นั่นจะทำให้เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย ทำให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้’ ในสายตาของเด็กสาวคนหนึ่งไม่เคยเข้าใจเช่นนั้น เธอรู้ว่านั่นคือการผลักไสลูกที่ไม่ต้องการออกไปจากครอบครัวใหม่ ครอบครัวที่ไม่ต้องการเธอ
จากนั้นนิรันดาก็ใช้ชีวิตเด็กหอและการอยู่ห่างครอบครัวมาตลอด ทั้งวัยมัธยมปลายจนกระทั่งเรียนจบมหา'ลัยและกำลังหางานทำตอนนี้ เธอมีชีวิตที่หลุดออกจากครอบครัว เป็นเหมือนเศษเสี้ยววงกลมที่แยกออกจากกันสามส่วน เธอก็คือส่วนเล็ก ๆ ที่แยกออกจากพ่อและแม่มาสู่โลกกว้างไร้ความรัก
เธอไม่อยากกลับไปหาครอบครัวของบิดา หากเรียนจบแล้วยังไม่มีงานทำ นิกรผู้เป็นพ่อจะให้กลับไปช่วยขายของในร้านอุปกรณ์เครื่องเขียน ร้านซึ่งหญิงสาวอยู่มาจนอายุสิบห้าแต่ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว เส้นทางของเธอตอนนี้คือทำอย่างไรให้มีงานทำและไม่ต้องกลับไป ที่นั่นไม่มีความสุขสำหรับเธอแน่นอน
ในเวลาที่เรียนหญิงสาวก็ไม่กลับบ้านแม้ปิดเทอม เธอเลือกอยู่หอพักและอ้างทำงานพิเศษไม่กลับบ้าน แต่ตอนนี้เรียนจบแล้ว เธอจะอยู่ต่อไปโดยอ้างเรื่องเรียนได้อย่างไร สิ่งที่เลือกคือการโกหกว่าได้งานทำและบิดาไม่ต้องส่งเสียเธออีก
ในขณะที่ความเป็นจริงต่างไปราวฝันร้าย นิรันดาเหลือเงินติดตัวไม่ถึงหกร้อยบาทด้วยซ้ำ แต่ต่อให้ไม่เหลือเลยสักบาทหญิงสาวก็จะไม่กลับไปในครอบครัวของใคร ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือมารดา เธอจะไม่เข้าไปแทรกกลางพื้นที่ซึ่งไม่ต้องการเธอแต่แรก ที่ผ่านมาเธออยู่ได้แม้ว่าจะเจ็บปวดและน้อยใจมาตลอด แต่มันบอกกับเธอเสมอว่า ‘ยังไม่ตาย’
“เฮ้อ... ตำแหน่งในห้างก็เต็มแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำแล้วจริง ๆ เหรอวะ ลองไปดูงานในโรงแรมหรือร้านอาหารดีไหมนะ เด็กเสิร์ฟก็ได้มั้ง ทำอะไรไปก่อนให้พอมีเงินจ่ายค่าห้อง เงินห้าร้อยกว่าบาทที่เหลือไม่ถึงสิ้นเดือนแน่ ตายแน่เลยอีนิรันดร์...” หญิงสาวพูดกับตัวเองระหว่างที่เดินก้มหน้าไปเรื่อย ๆ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนได้ยินประโยคเหล่านั้น
ชายร่างสูงภายใต้แว่นตาสีดำเงากำลังเดินออกจากตัวห้างฯ แต่คนที่ถือเอกสารแนบอกกลับเดินส่ายไปมาขวางทางของเขา ครั้นเมื่อจะเดินเลี่ยงออกไปก็ได้ยินประโยคตัดพ้อ ความคิดบางอย่างจึงทำให้เขาเดินช้าลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือมองเงียบ ๆ
เพราะชีวิตเจอแต่เรื่องยุ่งยากและไม่เคยพูดบ่นความในใจออกมาแบบนี้ การมาได้ยินคำตัดพ้อโดยบังเอิญจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ อาจแปลกจนเหมือนไม่เคยมีใครทำแบบนี้ในสายตาของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้
“แล้วถ้าสิ้นเดือนพ่อขอเงินล่ะ ลูกทำงานก็คงต้องขอไหม? เมียใหม่พ่อคงเป่าหูว่าทำงานแล้วทำไมไม่ให้เงินพ่อบ้างแน่ ๆ ยัยลูกสาวก็ใช่ย่อย! ใส่ร้ายเรางั้นงี้สารพัด ถ้าไปหายใจในบ้านก็คงบอกว่ารำคาญเสียงหายใจแหละ โอ๊ย!! เครียด!! ว้าย” นิรันดาพูดบ่นด้วยความหัวเสียก่อนจะมีแรงกระแทกเกิดขึ้น ร่างกายของเธอจึงเซไปอีกด้านเพราะใครบางคน
คนที่อยู่ตรงหน้าวสิทธิ์ถูกชายร่างสูงวิ่งชนอย่างแรง เขาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์หมายจะรับร่างนั้นไว้แต่ก็ไม่ทัน ทำให้คนตัวเล็กล้มไปกองกับพื้นเสียงดังพอควร สิ่งที่สายตาชายหนุ่มมองเห็นคือเอกสารในซองสีใสกระจายไปทั่ว ส่วนแว่นตากลมหนาตกลงตรงหน้าก่อนจะถูกเหยียบด้วยเท้าของเขาอย่างจัง
เหยียบเต็มเท้าโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจสักนิด
แต่เขาก็เหยียบมันไปแล้ว!
“คุณเป็นอะไรไหมครับ...” วสิทธิ์ละสายตาจากแว่นที่แตกหักใต้เท้า จากนั้นก็เข้าไปประคองคนล้มที่เหมือนจะหยั่งรากลงพื้นไม่ขยับเคลื่อนไหว เธอนั่งนิ่งจนเขาคิดว่าเป็นอะไรมากแน่ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นว่าหญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาแบบเร็ว ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เจ็บตูดนิดหน่อย โอ๊ย...เจ็บตูดเป็นบ้า!” เธอตอบเสียงขบขันและยังพยายามก้มหน้า ซึ่งชายหนุ่มคาดเดาว่าไม่อยากให้เห็นตัวเองร้องไห้
“ผมขอโทษนะครับพี่ ผมรีบไปส่งของน่ะครับ พี่เป็นไรไหม” หนุ่มส่งของพูดอย่างรู้สึกผิด สายตามองนิรันดาที่ยังนั่งกับพื้นสลับกับทางที่จะไปส่งของ เขากำลังจะไปไม่ทันเวลาแล้ว วันนี้การจราจรติดขัดทำให้มาช้า และหากไปไม่ทันก็จะต้องถูกหักเงินตามกฎบริษัท
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรน้อง! พี่สบายมาก” คนตอบว่าสบายมากยังแอบเอามือลูบสะโพกอยู่ในบางครั้ง แถมเรียกตัวเองว่าพี่โดยไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นน้องจริงหรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่เธอสนใจคือแว่นอยู่ไหน
นิรันดาสายตาสั้นถึงหกร้อยถึงหกร้อยห้าสิบ เธอแทบจะมองอะไรไม่ออกแล้ว ทุกอย่างพร่ามัวเป็นรูปร่างคนแต่มองไม่ชัดว่าหน้าตาเป็นแบบไหน หูฟังเข้าใจเจ้าตัวจึงตอบออกไปแบบนั้น
“น้องรีบไปส่งของเถอะ พี่ไม่เป็นอะไร รีบไป ๆ” มือเรียวยกขึ้นโบกไปในอากาศเพื่อให้คนที่คุยด้วยรีบไป เธอยังส่งยิ้มไปให้อย่างสดใสตามสายตาที่พร่าเบลอแต่ยังเห็นรูปร่างคนสนทนา
“ขอบคุณครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างจริงใจแล้วรีบวิ่งไปทันที ใจหนึ่งเขาก็อยากอยู่ดูแลเธอแต่ก็ไม่อยากถูกหักเงินด้วย ไม่แน่เขาอาจกลับมาดูแลเธอได้ทัน
วสิทธิ์มองหญิงสาวที่ยังส่งมือไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา เธอให้อภัยคนที่มาชนแล้วยังยิ้มสดใสให้ ขณะที่เขามั่นใจว่าเห็นเธอก้มหน้าร้องไห้ก่อนหน้านี้ หรือเขาไม่ได้กลับไทยนานเกินไปจนลืมไปแล้วว่าผู้หญิงไทยมีความน่ารักขนาดนี้
ชายหนุ่มหยิบเอกสารฉบับหนึ่งที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาดู พบว่ามันเป็นเรซูเม่ประวัติของหญิงสาว ทำโดยใช้ภาษาไทยที่สละสลวยและเรียบเรียงภาษาอังกฤษได้ดีมาก มองเอกสารแล้วชายหนุ่มก็ต้องเงยหน้ามองเจ้าของมันเล็กน้อย เมื่อเขาได้รู้ว่าเธอชื่อนิรันดา ชื่อเล่นนิรันดร์ อายุยี่สิบสองปี เพิ่งจบปริญญาตรีการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศมาหมาด ๆ แถมจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
อ่านประวัติไปคร่าว ๆ ชายวัยสามสิบเก้าและเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายก็ต้องพยักหน้าน้อย ๆ ในความเก่งที่โดดเด่น แม้จะอ่านผ่านตัวอักษรแต่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันที่ดี
เธอดูเด็กเกินกว่าจะจบปริญญาตรี แต่ก็มีจุดบกพร่องเรื่องความมั่นใจในตัวเองบางอย่าง และน่าจะเป็นจุดอ่อนที่ไม่มีใครรับเข้าทำงานในสายวิชาที่เธอจบมา
“คุณกำลังหางานทำเหรอครับ” สิ้นเสียงคำถามที่ดังจากด้านขวานิรันดาก็ต้องหยุดชะงัก เสียงนั้นดูจะใกล้ไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสัมผัสลมหายใจ การหยุดชะงักนั้นเกิดจากโทนเสียงที่ค่อนไปทางทุ้มลึกชวนอบอุ่นไม่ใช่เสียงวัยรุ่นที่อยู่ในโทนแตกเนื้อหนุ่มใหม่ ๆ อย่างคนที่วิ่งมาชน
เธอหันไปทางต้นเสียงและพยายามมองหน้าชายคนนั้น แต่เธอก็มองไม่เห็นอย่างชัดเจนเพราะไม่มีแว่นสายตา รับรู้เพียงว่าเขาคือผู้ชายที่รูปร่างสมส่วนดูแข็งแรง ส่วนใบหน้าและทรงผมพอจะคาดเดาได้ว่าดูสะอาดสะอ้านเป็นผู้ใหญ่
‘หยุดบ้าผู้ชายแล้วหาแว่นเดี๋ยวนี้ มันใช่เวลาไหมอีนิรันดร์!!’ หญิงสาวด่าตัวเองในใจก่อนจะสลัดความคิดที่ไม่เข้าท่าออกไปจากหัว เธอควรสนใจที่จะหาแว่นแล้วเลิกเป็นคนตาบอดเสีย
“ค่ะ ฉันกำลังหางานทำ แต่เวลานี้กำลังหาแว่นค่ะ คุณเห็นไหมคะ” มือน้อย ๆ คลำหาไปตามพื้นที่นั่งอยู่อีกครั้งขณะที่วสิทธิ์ก้มมองที่เศษซากที่เขาเหยียบมันแตกไปเสียแล้ว
“ผมเหยียบมันแตกไปแล้วครับ ขอโทษด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ เขาไม่ได้ชนเธอจนล้มแต่กลับสร้างความเสียหายให้กับเธอมากกว่าเสียอย่างนั้น
“แตกไปแล้ว!! เหอะ! แตกไปแล้วเนาะ” นิรันดาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ กับชะตาชีวิตเธอตอนนี้ น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาเท่าทันเสียงหัวเราะ แต่มือของเธอก็เร็วไม่แพ้กัน เมื่อมันไหลออกมาก็ปาดมันทิ้งไปทันที “ช่างเถอะค่ะ วันนี้มันเป็นวันโคตรซวยของฉันเอง ไม่ต้องคิดมากนะ สงสัยจะดวงตกแหละคุณ”
มือเรียวหันไปสนใจเก็บเอกสารมาถือไว้ทีละแผ่นเท่าที่สายตาจะมองเห็น ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะหาแว่นอีกแล้ว ตอนนี้คงต้องเก็บเอกสารแล้วพาตัวเองไปจากที่นี่ พาตัวเองกลับไปยังหอพักที่มีเพื่อนสนิทรอปลอบใจแน่นอน
วสิทธิ์ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทางที่เห็น เธอไม่โกรธที่เขาทำแว่นแตกหักเช่นเดียวกับหนุ่มที่วิ่งมาชนอย่างไม่ตั้งใจ แต่เธอก็ร้องไห้ออกมาถึงจะพยายามปาดเช็ดมันออกและส่งเสียงสดใส
ชายหนุ่มช่วยเก็บเอกสารที่กระจายไปทั่ว รู้สึกว่าเวลาที่เร่งรีบของชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อมันถูกควบคุมให้เดินไปข้างหน้าช้าลง หรือไม่ก็กำลังหยุดอยู่ตรงนี้ระหว่างเขาและเธอ
เขาตั้งใจเข้ามาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่นาน ตั้งใจเข้ามาเพื่อหาเพื่อนเก่าแต่ก็ไม่พบ เพื่อนสนิทที่ไม่ได้ติดต่อกันนานหลายปีแต่รู้ดีว่าอยู่ที่นี่แน่นอน เพราะอัคนีเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ เมื่อเข้ามาไม่พบชายหนุ่มจึงคิดว่าจะต้องออกไปจัดการงานมากมายที่รออยู่ กระทั่งมาได้ยินเสียงพร่ำบ่นของคนตัวเล็กที่เดินโยกไปมาขวางทาง เวลาอันมีค่าของเขาก็ดูจะเดินช้าลงเพราะเธอคนนี้
“เอกสารทั้งหมดครับ” มือหนาส่งเอกสารคืนให้ก่อนช่วยประคองนิรันดายืนขึ้น ยังไม่ลืมที่จะก้มลงไปปัดกระโปรงสีเทาตัวยาวคุมข้อเท้าที่เปื้อนอะไรบางอย่าง
พอหญิงสาวยืนตรงหน้าเต็มความสูงก็ทำให้เขาได้มองเห็นการแต่งตัวที่ค่อนข้างเรียบร้อยเกินไป เนื้อผิวที่พ้นจากผ้าที่สวมใส่คงจะมีแค่ส่วนลำคอขึ้นไปถึงใบหน้าที่สวยหวาน และมือเรียวที่ข้างหนึ่งมีนาฬิกาสีเดียวกับเสื้อ ส่วนอีกข้างมีกำไรข้อมือสีชมพูดูน่ารัก บนนิ้วไม่มีแหวนและเจ้าตัวไม่ใส่ต่างหู
เธอแต่งตัวได้เกินอายุไปหลายปีไม่น้อย หากรวมกับแว่นสายตาที่เขาถือเศษซากอยู่ก็น่าจะเหมือนคุณป้าวัยสี่สิบเข้าไปเต็มทน แต่ก็เป็นคุณป้าที่วสิทธิ์มองว่าน่ารัก
ใบหน้าหญิงสาวเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม ตอนนี้ไม่มีแว่นกรอบหนาปิดบังความสวยของดวงตากลมโต แพขนตาที่งอนยาวเรียงตัวเป็นระเบียบกับคิ้วหนาได้รูปโดยไม่ต้องขีดเขียน เขาพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าสวยหวานชวนมองมากทีเดียว ปากนิดจมูกหน่อยจนแทบจะเหมือนตุ๊กตาเข้าไปทุกที ยามที่หรี่ตาแล้วเบิกกว้างเพื่อปรับการมองเห็น ดวงตาของเธอกลมโตมาก นัยน์ตาเป็นสีดำขลับไม่ต่างไปจากสีผมที่ยาวสวย มองแล้วสบายตาจนวสิทธิ์ไม่รู้เลยว่าเผลอจ้องหน้าเธอนานแค่ไหน
“คุณ! คุณคะ? ปล่อยแขนฉันได้แล้วค่ะ” หญิงสาวพยายามบิดแขนออกเมื่อเธอจะเดินออกไปจากตรงนี้แต่พบว่ามือของเขายังจับตรึงอยู่
“ขอโทษครับ” มือนั้นปล่อยไปแล้วแต่นิรันดารู้สึกว่ามันทิ้งความอุ่นเอาไว้บนเนื้อผิว จนหญิงสาวต้องก้มไปมองบริเวณนั้นต่อให้ไม่เห็นก็ตาม
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้คิดที่จะมาลวนลามผู้หญิงอย่างฉันหรอก แต่ขอบคุณนะคะ ฉันไปละ! อ้อ... ฉันไม่รู้ว่าแว่นตกแตกตรงไหน รบกวนทิ้งถังขยะให้หน่อยนะคะ” วสิทธิ์มองซากแว่นในมือของเขาเมื่อเธอพูดจบ และเมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็เดินจากไปด้วยท่าทางเหมือนคนตาบอด ยื่นมือไปข้างหน้าและพยายามก้าวช้า ๆ
“ผู้หญิงอะไรเนี่ย ไม่เคยเจอแฮะ” วสิทธิ์พูดกับตัวเองแล้วเดินเข้าไปหา เขาจับมือเรียวนุ่มเธอไว้ก่อนจะจับจูงไปอีกด้าน “เดินตามมาครับ ผมจะพาไปตัดแว่น”
“ฮะ! หูย! ไม่ต้อง ๆ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก มันแพง! ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องมาเสียเงินหรอกคุณ!” คนเดินนำหน้าไม่ได้สนใจเสียงโวยวายเหล่านั้น เขาเพียงยกยิ้มน้อย ๆ แล้วกวาดสายตามองหาร้านแว่น