Chapter 7: เจ้าชายอสูร

1878 Words
หลังจากที่สาวน้อยรวบรวมสติได้พี่ ๆ ก็พารังเรขเดินดูเพนต์เฮาส์ พวกเขาพาเธอไปดูห้องนอนของเธอก่อน ระหว่างที่เธอสลบไปพวกเขาได้จัดการสำรวจเพนต์เฮาส์และจัดแจงให้คนขนของใช้ส่วนตัวของเธอที่บรรจุอยู่ในกล่องแค่ไม่กี่ใบเข้าไปไว้ในห้องนอนที่พวกเขาเลือกไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพนต์เฮาส์มีอยู่สามห้องนอน ขนาดของแต่ละห้องใหญ่พอกัน ห้องนอนทุกห้องอยู่บนชั้นสอง ชั้นล่างของเพนต์เฮาส์มีหลายส่วน ทั้งส่วนทั้งส่วนของห้องนอนแขก ห้องออกกำลังกาย โซนครัว บาร์น้ำ ซาวน่า และมีห้องโล่งกว้างจัดเป็นโซนรับแขกที่มีผนังกระจกเป็นแนวยาวอยู่ด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งมีประตูกระจกเปิดออกไปยังระเบียง ส่วนของระเบียงกว้างขวางมีหลังคากันแดดกันฝนแต่โดยรอบเปิดโล่งรับลมและเห็นวิวเมืองกรุงอันกว้างไกล พื้นที่ตรงระเบียงถูกจัดเป็นจุดสำหรับพักผ่อนดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า หรือแม้กระทั่งชมดวงดาวยามค่ำคืนก็ยังได้ ตรงกลางระเบียงมีโต๊ะไม้เตี้ย ๆ และโซฟาลักษณะแคบเรียวสีแดงโค้งเป็นคลื่นสูงแล้วเลยลงมาเป็นโค้งต่ำตั้งอยู่หนึ่งตัว รอบข้างมีแคคตัสต้นใหญ่หลากหลายพันธุ์ปลูกในกระถางวางกระจายเป็นจุดดูเป็นการตบแต่งที่แปลกตา แคคตัสบางต้นออกดอกเป็นสีแดง บางต้นออกดอกสีเหลืองสดสวย บางต้นมีขนฟูปุกปุยราวขนลูกแมว บางต้นใหญ่กว่าหัวของรังเรขและมนกลมไม่มีหนาม แต่ละต้นท่าทางจะแพงหูฉี่ “พวกเราอยู่กันตั้งสามคน ทำไมพ่อพวกพี่เลือกโซฟามาตั้งแค่ตัวเดียว แปลกจัง?” รังเรขถามพี่ ๆ แล้วเดินไปนั่งตรงกลางของโซฟารูปร่างประหลาดตา สองหนุ่มหล่อสบตากันแล้วยิ้มอย่างมีนัย พวกเขารู้ดีว่าโซฟาตัวนั้นเอาไว้ใช้ทำอะไรและทำไมถึงมีอยู่ตัวเดียว ต้องเป็นฝีมือคุณป๋าแน่ ๆ เรื่องตระเตรียมแผนการคุณป๋ากูนี่ที่หนึ่งของชั้นเลย ราพณ์ยิ้มแล้วคิดในใจ “โซฟามันนั่งได้สองคน เรียกว่า ‘โซฟาคู่รัก’ ไม่เคยได้ยินเหรอ?” ราพณ์ยักคิ้วหลิ่วตาแล้วถามน้อง “หือ? ไม่เห็นเคยได้ยิน นั่งได้แค่สองคน แต่พวกเรามีสามคนนี่คะ พ่อของพวกพี่ ๆ น่าจะหามาอีกตัว แต่มันก็ยาวนะคะ ใช้สามคนก็น่าจะได้” รังเรขพูดจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเกาะขอบระเบียงแล้วมองดูทัศนียภาพสุดสวย สองหนุ่มหล่อคิดตามที่น้องพูด อ๊า... ตัวจิ๋วความคิดบรรเจิดมาก ความจริงโซฟาคู่รักก็น่าลองใช้สามคนดูนะ พระรามคิดแล้วชำเลืองมองเพื่อน ราพณ์เหมือนจะรู้ทัน เขาจึงนิ่วหน้าทันที “กูไม่เอานะโว้ย! ‘กู’ กับ ‘มึง’ และ ‘ยัยแสบ’ นั่น... เป็นไปไม่ได้” ราพณ์ปฏิเสธทันที “มึงเคยไหม?” พระรามถามสั้น ๆ “เคยดิ แต่กับผู้หญิงสองคน ไม่เคยกับผู้ชายคนอื่น” ราพณ์ตอบแล้วกอดอกมองคนตัวเล็กที่เมื่อไม่เกินครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังหน้าซีดปากสั่นเพราะรู้ว่าพวกเขาเป็นยักษ์ แต่ตอนนี้กลับร่าเริงกับวิวทิวทัศน์ไม่กลัวพวกเขาจับกินอีกแล้ว “กูไม่เคยสามคนกับใครทั้งนั้น เวลากูจะทำรักกูปรนเปรอให้ผู้หญิงคนเดียว และกูไม่คิดจะแบ่งผู้หญิงของกูกับคนอื่น” พระรามกอดอกแล้วพูดพลางมองน้องเช่นกัน “งั้นก็ดี... ถ้าสุดท้ายยัยแสบเลือกกูมึงจะได้ไม่ต้องมางอแง” “ไหนมึงบอกมึงไม่เอาน้อง? หรือมึงแค่เห็นกูโอเคที่จะลองอยู่กับน้องมึงเลยอยากแย่ง? มึงไม่สมควรทำอะไรแบบนั้นนะ มันไม่แฟร์กับน้อง” พระรามปรามเพื่อน “กูอยากทำอะไรก็เรื่องของกู ว่าแต่... ยัยแสบไม่รู้ตัวเองว่าเป็นยักษ์ ทำไมวะ? แรงช้างสารปานนั้น แล้วทำไมน้องไม่มีเขี้ยวยักษ์วะ? แล้วทำไมต้องเป็นน้องที่คุณป๋าของกูกับพ่อมึงบังคับให้เราเอาเป็นเมีย? ในหัวของกูมันมีแต่คำว่าทำไม" ราพณ์พูดกับพระรามผู้ที่ในยามเช้ายังเป็นอริของเขาแต่พอตกตอนสายดันกลายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเสียนี่ “เรื่องน้องเป็นยักษ์บอกน้องไปตอนนี้น้องคงไม่เชื่อ หนึ่ง น้องไม่มีเขี้ยวยักษ์ สองนอกจากกำลังช้างสารน้องไม่มีอย่างอื่นที่เหมือนยักษ์เลย ทั้งกลิ่น ทั้งรูปร่าง มึงก็รู้... ยักษิณีสามารถมีร่างมนุษย์แบบสะบึ้ม ขายาว เอวเล็ก สวยหยดทุกคน ดูอย่างนิดสิแม่ง... หุ่นนางงามชัด ๆ แต่น้องเลขคือแบบ... ขาสั้นไปหน่อย แต่กูว่าน่ารักดี พกพาง่าย” “มึงอย่าพูดเรื่องนิด กูเพิ่งหายโกรธมึง ถ้ามึงยังเสือกพูดเรื่องนิดอีกกูจะโกรธอีกแล้วนะ” ราพณ์เตือนเพื่อนด้วยเสียงหงุดหงิด ยังขัดใจที่พระรามแย่งคนรักไป แล้วตอนนี้ยังมาชมน้องว่าน่ารักให้กูได้ยินอีก... แล้วกูจะโมโหไอ้รามทำเชี่ยไรวะ? แค่มันชมว่ายัยเลขน่ารัก กูไม่ได้จะเอาเลขทำเมียเสียหน่อย “เออ ๆ ๆ ได้ ๆ สรุปคือ น้องไม่เหมือนยักษิณี กูคิดว่าน้องน่าจะเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ลูกเสี้ยวมนุษย์ว่ะ ไม่ทางพ่อหรือแม่ต้องเป็นยักษ์ชั้นสูง แต่น้องไม่รู้ตัวว่ามีสายเลือดยักษ์” พระรามอธิบาย “งั้นพวกเราทำยังไงกันต่อดี? อยู่ไปเรื่อย ๆ จนครบสามเดือนแล้วแยกย้ายเหรอ? ปล่อยให้เลขกลับไปใช้ชีวิตมนุษย์ มึงกับกูก็แยกกันหาเมีย แต่งงานมียักษ์น้อย ๆ ให้คุณป๋ากับพ่อของมึงชื่นใจ” ราพณ์หันหน้ามาสบตากับเพื่อนรูปหล่อ แววตาคมของพระรามมีบางอย่างแฝงอยู่ มันเป็นแววตาที่ทำให้ราพณ์หวั่นใจอยู่ไม่น้อย มันเป็นแววตาแบบเดียวกับตอนที่ไอ้รามจะแย่งหุ่นยนต์เขา เป็นแววตาเหมือนตอนที่มันยืนขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าห้อง และเป็นแววตาที่ไม่ผิดไปจากตอนที่มันตั้งใจลงแข่งคัดเลือกตัวนักบาสกับเขา ...แววตามุ่งมั่น หลงใหล และอยากได้ “กูว่ากูโอเคกับการที่จะเป็นผัวน้อง กูขอเวลาศึกษาดูใจกับน้องก่อน เลขไม่ได้เลวร้าย กูเองก็ใกล้เคียงกับสเปกที่เขาบอก ยกเว้นแต่กูหล่อ” พระรามพูดพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก แต่ดวงตากลับแฝงแววกล้าแข็งเหมือนเป็นการประกาศจุดยืนและบอกให้ราพณ์รู้ว่า ‘เลขต้องเป็นของกู’ ราพณ์กัดฟันกรอด ไม่เข้าใจว่าอารมณ์พลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นในอกมันคืออะไร รู้แต่ว่าเขาไม่อยากเห็นไอ้รามมีความสุข ยิ่งมีความสุขกับยัยแสบยิ่งไม่อยากเห็น! ********************* “หือ? งั้นแสดงว่าเทอมหน้าหนูก็เริ่มเรียนได้เลยเหรอคะ?” รังเรขถามพี่รามด้วยความตื่นเต้นดีใจ พวกพี่ ๆ พาเธอออกมารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากคอนโดนักเพราะเครื่องครัวในเพนต์เฮาส์ยังมีไม่ครบ ต้องรอให้ชาติขนของเข้าให้หมดภายในวันนี้ ฤทธิ์โทรมาบอกให้พระรามทำแต้มกับน้องด้วยการจัดการเรื่องเรียนต่อให้และแค่เพียงยกหูโทรศัพท์ไม่กี่ทีเขาก็จัดการให้เธอเริ่มเรียนทันเปิดเทอมใหม่ของมหาวิทยาลัย K สถานศึกษาเอกชนชื่อดังได้ “ใช่ครับ พี่จัดการให้น้องหมดแล้ว เดี๋ยวพอกลับถึงเพนต์เฮาส์เลขก็จัดเตรียมเอกสารการสมัครเรียนและพอร์ตต่าง ๆ ให้เรียบร้อย พี่จะกลับไปทำงานต่อตอนบ่ายแล้วพรุ่งนี้พี่จะดำเนินการทุกอย่างให้เอง หลังจากเอกสารผ่าน อีก 1-2 อาทิตย์หนูอาจต้องสัมภาษณ์เข้าเรียนพอเป็นพิธีแค่นั้น” พระรามตอบเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย “พี่รามดูแลหนูได้จริง ๆ ด้วย” สาวน้อยเอียงหัวมองพระรามด้วยสายตาชื่นชม ราพณ์ได้แต่เบะปากแล้วจิ้มสเต๊กเนื้อแรร์เข้าปากเคี้ยว “สเต๊กเนื้อแรร์ของที่นี่ดีอร่อยดีจัง แต่น่าจะอร่อยน้อยกว่าเนื้อใครบางคน คืนนี้อย่ามัวแต่ฝันหวานว่าจะได้ไปเรียนนะ ขืนมัวแต่ฝันดีโดนกัดไปสักคำ เนื้อแหว่งหายไปก็คงไม่รู้ตัวหรอก” หนุ่มหน้าสวยพูดหลังจากเคี้ยวสเต๊กคำแรกแล้วกลืนลงคอก่อนจะหันไปจ้องหน้ารังเรขแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สาวน้อยขนลุกซู่ นอนอยู่บ้านเดียวกับพวกเขาเธอจะปลอดภัยไหมนะ? “เดี๋ยวกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วหนูขอติดรถพี่รามไปห้างด้วยนะคะ จะได้ไปเจอใบบัวเพื่อนหนู เมื่อเช้าหนูรีบตามลุงชาติออกมายังไม่ได้เล่ารายละเอียดอื่นให้ใบบัวฟังเลยค่ะ ต้องไปทำเรื่องลาออกด้วย” สาวน้อยพูดแล้วม้วนเส้นสปาเกตตีของตัวเองเข้าปาก ทำเป็นไม่สนใจราพณ์ที่พูดขู่ “ได้สิครับ แต่เลขต้องห้ามบอกคนอื่นเรื่องที่พวกพี่เป็นยักษ์นะ ถึงน้องจะสนิทกับเพื่อนที่ชื่อใบบัวแค่ไหนก็ตาม เรื่องนี้เป็นความลับ” พระรามบอกน้องแล้วเคี้ยวสเต๊กเนื้อแรร์ของตัวเองบ้าง “งั้น... หนูบอกได้แค่ไหนบ้างคะ? แล้วหนูต้องโกหกเหรอ?” “ก็บอกเพื่อนเธอไปสิว่าเธอเจอกับเพื่อนเก่าของแม่และพวกเขาก็เสนอจะดูแลเธอแลกกับที่เธอต้องเลือกลูกชายของพวกเขามาเป็นผัว ไม่เห็นมีตรงไหนที่โกหกเลย” ราพณ์พูดแล้วยักไหล่ “พูดไปแบบนั้นฟังดูเหมือนหนูเป็นซินเดอเรลลาเลย แต่ความจริงมันไม่ใช่นี่คะ” สาวน้อยทำหน้าคว่ำก่อนจะรับประทานอาหารต่อ “ไม่ใช่ยังไง? ก็เธอมันยากจนอนาถา เสื้อผ้าสุดโทรม ผมเผ้าเหมือนนางก้นครัว จะมีผัวเป็นเจ้าชายแล้วมันจะไม่เหมือนซินเดอเรลลาที่ตรงไหน?” ราพณ์ถามน้องน้ำเสียงเหมือนขัดใจที่เจ้าหล่อนไม่พอใจกับสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นอยู่ “ก็หนูไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนซินเดอเรลลาเลย หนูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเนื้อ เนื้อที่ถูกตัดแต่งเรียบร้อย แล้วพวกพ่อของพี่ ๆ ก็ไปซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้ให้พี่ ๆ เตรียมกิน แล้วอย่างพี่ราพณ์ก็ไม่เห็นเหมือนเจ้าชายเลย... อย่างมากก็เป็นได้แค่เจ้าชายอสูร” รังเรขพูดขึ้น ประโยคหลังพูดเบาราวกับบ่นกับตัวเอง ให้ตายสิ จะเจอเจ้าชายทั้งทีทำไมหนูต้องมาเจอเจ้าชายอสูรเนี่ย! ?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD