“ควายเถอะ ไอ้สันขวาน”
เสือละอยากต่อยปากเพื่อนสนิทให้แตกคาร้านหนังสือกลางห้างจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วยน่ะนะ
ตอนนี้เขากับเพื่อนเลยมาจบลงที่ร้านของหวานซึ่งไม่ได้อยู่ไกลไปจากอู่ซ่อมรถของบิดาเท่าไหร่ ได้น้ำหวานเย็น ๆ ของป้าดับอาการหัวร้อนหน่อยก็ดี แต่มันดูจะไม่เข้ากับชายโฉดแบบพวกเขาสองคนเท่าไหร่ ทว่ามอนสเตอร์มันดันเป็นพวกติดของหวานเลยเลือกที่จะมานั่งคุยกันต่อที่นี่ เรียกง่าย ๆ ว่าเรียนเสร็จแล้วไม่มีที่ไปนั่นแหละ
“เอ้า เป็นใครเห็นก็คิดแบบกูปะวะ อีกอย่างมึงดูน้ำตาคลอเบ้าขนาดนั้นอะ เหมือนเด็กสาวท้องละไม่มีใครรับผิดชอบ”
“วันนี้กูน่าจะได้ตบมึงหน้าหันจริง ๆ ละ”
“กูหยอกเล่นไหม ที่มึงทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกมาหลายวันคือแบบนี้เองเหรอ ก็ว่าวันนั้นเขากำลังสนุกกันเลย แต่มึงดันหายหัว”
“เออ กูจะไม่แดกอะไรที่มันเกินตัวแบบนั้นอีกแล้ว” ทั้งที่รู้ลิมิตตัวเอง แต่พอคนเรามันจะพลาดก็เกิดเหตุไม่คาดคิดได้เสมอ เขาตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง เรียกได้ว่าที่เราสองคนยังคบกันมาตั้งแต่มัธยมจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เพราะเข้ากันได้ดีทั้งหมด แต่เนื่องจากรู้ไส้รู้พุงกันมาหมดแล้วต่างหาก เลิกคบกับไปก็ได้ฉิบหายกันพอดี
“สมน้ำหน้านะ แล้วเป็นไง เด็ดปะ คนที่ทำให้มึงไม่แม้แต่จะคว้าคอมด้อมมาใส่ได้อะ”
“มันใช่เรื่องที่จะเอามาพูดไหม”
ความจริงแล้วเขาเองก็จำเรื่องราวในวันนั้นไม่ได้เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับผลลัพธ์ตอนนี้หรอก
“ขอโทษค้าบ ละจะเอาไงต่อ”
“ก็คงจะต้องดูมันห่าง ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่ท้องจริง ๆ นั่นแหละ”
เพื่อนสนิทพยักหน้าเห็นด้วย นั่นทำเอาเสือต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะต้องละความสนใจไปที่เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสีเข้มคู่ใจ
[คุณหนูเสือครับ ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ]
เป็นพวกพี่ที่อู่ซ่อมรถโทรมาหาเขา ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ช่วงนี้อาดีนยิ่งไม่ค่อยจะว่างอยู่
“ว่างครับ คุยได้เลยพี่”
[เอ่อ... ผมเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว แต่คุณเอมิลยังไม่ได้กลับเข้ามาที่ร้านเลยครับ]
“เวลานี้มันเลิกเรียนแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับ ตามปกติก็ควรจะเลิกแล้ว เพราะตารางเรียนที่แปะไว้ให้ผมก็จำได้แล้ว เลยกะโทรมาถามว่าคุณหนูได้อยู่ด้วยกันไหมครับ”
“ไม่ครับ แต่เดี๋ยวผมจัดการเองครับ ยังไงวันนี้ก็ปิดร้านตามเวลาได้เลยนะครับ”
ไอรักดูเป็นผู้นำของกลุ่มเราได้เป็นอย่างดี เนื่องจากใช้เวลาคุยกันในห้องได้ไม่นานก็สามารถเลือกหัวข้อที่จะทำออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ได้ภายในครั้งเดียว ผิดกับหลายกลุ่มที่แค่ไปเสนอหัวข้อ ไม่โดนด่าก็โดนปฏิเสธจนอยากจะถอดใจ เอมิลเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่งานกลุ่มหรือทำวิทยานิพนธ์กันแน่
และได้มารู้ทีหลังว่าคนที่เธอกำลังเดินตามอยู่นั้นเป็นหัวกะทิของคณะ ที่ได้ทุนเข้ามาเรียนแบบสบาย ๆ แต่การใช้ชีวิตของไอรักดูจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่หรือเปล่านะ เพราะกว่าจะมาถึงนี่มันดูวุ่นวายไปหมด
“คิดยังไงถึงตามกันมาถึงนี่”
“อ๋อ เอ่อ... มิลยังไม่อยากกลับห้องน่ะ”
เราทั้งสองแยกกับเพื่อนในกลุ่มตั้งแต่หัวข้องานผ่าน เป็นเวลาเกือบจะเย็นแล้ว แต่เอมิลเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ก็เล่นหนีออกจากบ้านแล้วตามผู้ชายมาอยู่ด้วย แต่เขาคนนั้นกลับบอกเพียงว่าถ้าเธอท้องจริงจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ระหว่างนี้ถ้าไม่อยากกลับบ้านก็ให้อยู่ที่ชั้นสองของร้านนั่นแหละ เอมิลหนีมาแบบรีบ ๆ แน่นอนว่าในกระเป๋ามันไม่มีทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมไปถึงชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่ในตอนนี้ด้วย และได้เขาที่เป็นคนไปหาซื้อทุกอย่างมาให้เท่าที่จะหาได้ก่อน
ทว่าหลังจากวันนั้น รุ่นพี่อย่างเสือก็ไม่โผล่หน้ามาที่อู่ซ่อมรถอีกเลย ก็คงจะรำคาญเธอที่เอาแต่บอกให้เขารับผิดชอบ
“ให้มันจริงนะ แล้วนี่ไม่เคยนั่งรถเมล์ใช่ไหม”
“ทำไมถึงรู้ล่ะ”
“ก็นั่งเกร็งมาตลอดทางขนาดนั้น” ไอรักยังงงตัวเองอยู่เลยว่าอย่างไรถึงอนุญาตให้เพื่อนแบบเอมิลตามตัวเองกลับบ้านมาด้วย แต่พอเห็นใบหน้าติดเศร้าของอีกฝ่ายแล้วเธอก็จำต้องยอมให้มาด้วย
“อ่า ครั้งแรกแหละ จริง ๆ มันจะไม่ได้น่ากลัว ถ้าเขาขับดี ๆ กว่านี้”
“จะบอกว่ายังไงดี มันเป็นปกติของลุงเขาอะ”
“น่ากลัวเป็นบ้าเลย ว่าแต่บ้านรักอยู่แถวนี้เหรอ” ถ้าจำไม่ผิดซอยนี้มันเป็นซอยเดียวกันกับร้านที่เธอต้องอาศัยอยู่ในตอนนี้ ทว่าก็ไม่เคยจะลงมาเดินดูเลยสักครั้ง มีร้านน่ารัก ๆ กับพวกของกินอยู่เต็มไปหมด ยิ่งตอนเย็นแบบนี้แล้วไม่ไกลจากตรงนี้ก็มีตลาดที่อยากจะเดินดูสักครั้งด้วย เพราะเอมิลเห็นตอนที่นั่งรถมาพร้อมกับไอรัก
“ใช่ นี่ไง ถึงแล้ว”
“ขายข้าวเหรอ” เดินมาไม่นานก็ต้องหยุดตามเพื่อนใหม่ พบเป็นร้านที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าเป็นอาหารตามสั่ง นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือ เห็นทีว่าวันนี้เอมิลคงจะต้องอุดหนุนไอรักสักเมนูแล้ว เพราะกลับไปก็มีแค่สปาเก็ตตี้กับน้ำแร่ที่รออยู่ ไม่รู้ว่ารุ่นพี่สั่งเด็กในอู่เอาไว้ว่าอย่างไรถึงได้มีแค่เมนูเดิม ๆ ที่นำขึ้นมาให้เธอทาน
“ใช่ ข้าง ๆ กันเป็นพวกเครื่องประดับวินเทจของอารักเอง”
“โห สุดยอดไปเลย มิลของไปดูหน่อยได้ไหม แต่ ๆ ของสั่งข้าวด้วยนะ เอาเมนูแนะนำของทางร้านเลย”
“ได้ เดี๋ยวบอกแม่ให้”
เอมิลวางกระเป๋าตามที่เพื่อนบอก ก่อนจะเดินไปดูเครื่องประดับที่เป็นร้านของญาติไอรัก มันละลานตากว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ถึงชีวิตจะเคยใช้แต่ของแพง ๆ ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็สวยแปลกตามากจริง ๆ จนไปสะดุดเข้ากับสร้อยสีเงินยาว ๆ ที่มีจี้เพรชรูปสีเสื้อกำลังโบยบินอยู่
“สนใจเหรอ เพื่อนน้องรักใช่ไหม น้าลดให้ได้นะลูก”
“ไม่ต้องลดค่ะ ๆ ชิ้นละเท่าไหร่เหรอคะ”
“สร้อยคล้องเอวเหรอ 499 บาทจ้ะ”
“ถูกจังเลยค่ะ” ทั้งที่มันก็แปลกตามากกว่าเพื่อนขนาดนี้ คนที่ไม่เคยพกแม้กระทั่งเงินสดชะงักไปชั่วขณะเมื่อกำลังจะหยิบเอาบัตรที่ใช้ตลอดยื่นให้คนตรงหน้า ตอนขึ้นรถเมล์มาก็เป็นไอรักที่ออกเงินให้ก่อน
“น้าลดให้ได้นะ ถ้าหนูอยากได้จริง ๆ”
“ไม่—”
“นี่ครับ ไม่ต้องทอน”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำเอาเอมิลหัวใจเต้นระรัว พอหันไปมองคนที่จ่ายค่าสร้อยให้ก็เป็นเขาจริง ๆ ชนิดที่ว่าไม่ได้เจอกันนานจนเธอจะลืมใบหน้าแบบนี้ไปแล้ว
“พี่...”
“พวกพี่ ๆ ที่ร้านบอกว่ามึงยังไม่กลับสักที ทั้งที่ก็เลยเวลาเลิกเรียนมานานแล้ว คนอื่นเขาแม่งเป็นห่วงกันฉิบหาย แต่มึงมาเดินเตร่เลือกของสบายใจอยู่แบบนี้เนี่ยนะ”
“หนูไม่—”
“กลับร้าน แล้วถ้าจะอยู่ด้วยกันก็อย่ามาทำตัววุ่นวายแบบนี้อีก กูไม่ชอบ”
ข้อมือเล็กถูกกระชากให้เดินตามกันไป เอมิลไม่ได้รู้สึกเจ็บขนาดนั้น เพราะรู้ว่าเขาคงจะผ่อนแรงความโมโหให้กันแล้ว แต่อย่างไรเขาถึงไม่ถามเหตุผลกันก่อน
เธอก็แค่เหงาที่ต้องเรียนเสร็จแล้วกลับห้อง ก็แค่อยากลองเปิดใจให้เพื่อนใหม่ดูสักครั้ง แต่ก็กลายเป็นว่าทำเขาวุ่นวายจริง ๆ นั่นแหละ
TBC.
กับคนไม่มีใจก็แบบนี้แหละค่ะ