แม่จำเป็น
(บีบี)
“แม่จ๋า ฮือ ๆ ๆ แม่จ๋า.... หนูคิดถึงแม่ ฮือ ๆ ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กดังมาจากตรงไหนสักที่หนึ่งที่ฉันมองไม่เห็น ฉันพยายามกวาดสายตามองหาในความมืดสลัวแต่ก็ยังไม่พบ นี่ก็สามทุ่มแล้วนะ เด็กที่ไหนมาร้องไห้แถวนี้กัน?
หรือว่า.... จะเป็นผี!!!
สองเท้าที่ตั้งใจจะเดินหาหยุดชะงักทันที ต้องใช่แน่ ๆ ดึกดื่นป่านนี้ใครจะปล่อยให้ลูกออกมาเดินเล่น แล้วแถวซอยเข้าหอพักของฉันก็ไม่มีเด็กด้วย คิดได้จนแน่ใจก็ตั้งท่าจะวิ่งไปอีกทาง อยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว มีหวังถูกผีเด็กหักคอแน่เลย
แต่อยู่ดี ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมาดึงชายเสื้อฉันเอาไว้พร้อมกับเสียงร้องครวญคราง “ฮื้อ ๆ ๆ ๆ พี่เห็นแม่หนูไหมคะ พี่จ๋า...ฮื้อ ๆ ๆ แม่อยู่ไหน ฮึก ๆ"
เสียงนั่นอยู่ใกล้ฉันมาก ๆ ฉันหันไปหาเสียงนั่นอย่างหวาดกลัว แต่ไม่ทันจะได้ตกใจ...เด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผีหรือคนก็ฟุบไปกับพื้นต่อหน้าต่อตา
ความตกใจทำให้ฉันไม่ได้โอบรับร่างกายเด็กน้อย ทั้งกลัวและตกใจในเวลาเดียวกัน แม้แม่หนูจะนอนกับพื้นไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่านั้นคนหรือผี ฉันยื่นมือไปจับทีละนิด..ทีละนิด ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามันมีความอุ่นของร่างกาย
เป็นคนไม่ใช่ผีอย่างที่คิด
“หนู หนู...เป็นอะไรไหมเนี้ย หนูตื่น ๆ ๆ ” ไม่ขยับตัวเลยสักนิดแต่ยังหายใจ
เอายังไงดีล่ะ..ยัยบีบีเอ้ย อยู่ดี ๆ ก็มีเด็กมาเป็นลมต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ทิ้งไว้ข้างทางก็มีแต่ตายสิไม่ว่า ไม่รู้ว่าลูกเต้าเหล่าใครถึงได้มาปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนี้
ช่างน่าสงสารแท้!!
นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนด้วยสิ เงินติดตัวยังไม่ถึงร้อยบาทเลยตอนนี้ ถ้าพาไปโรงพยาบาลก็ต้องนั่งรถแท็กซี่เสียเงินเป็นร้อย ไหนจะค่าพยาบาลที่คงไม่ใช่บาทสองบาท
แต่ต่อให้อุ้มขึ้นรถเมย์ก็ยังไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลอยู่ดี คิดไปคิดมาจนแทบจะปวดประสาทก็ตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยกลับไปที่ห้องพักของตัวเองดีกว่า คงไม่ได้เป็นอะไรมาก น่าจะแค่เป็นลมเท่านั้น
แนะนำตัวค่ะ..
ฉันชื่อบีบี ความจริงก็ชื่อบีคำเดียวนั่นแหละ แต่มาทำงานในกรุงเทพฯ เมืองแห่งแสงสีและการสร้างภาพ เพื่อนเขามีชื่อสองคำแบบน่ารัก ๆ ฉันเลยอยากมีอย่างเขาบ้าง...ก็เลยเป็นบีบีอย่างที่เป็น
งานที่ทำตอนนี้เหรอคะ...สาวโรงงานค่ะ
ทำงานวันละแปดชั่วโมง พักหนึ่งชั่วโมง มีวันหยุด 13 วันต่อปีตามกฎหมายแรงงานเป๊ะเวอร์ นี่คืออาชีพในฝันสำหรับคนที่เรียนน้อยอย่างฉันโดยแท้
หลังจากเรียนจบม.6 ก็ยึดอาชีพสาวโรงงานมาจนทุกวันนี้ ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป25 ปีแล้ว คิดว่าคงจะได้เป็นสาวโรงงานจนแก่เป็นแน่แท้
สาวโรงงานทำงานอย่างหนัก ใช้เงินอย่างประหยัด..ถามว่ามีเงินเหลือเยอะไหม เหอะ! ใช้ให้ถึงสิ้นเดือนยังใจแทบขาดเลยค่ะ...
ลูกไม่มี ผัวไม่มี แต่มีพ่อแม่และน้องสาวที่ต้องส่งเสียให้เรียนหนังสือ พักห้องแสนธรรมดาเช่าเดือนละสองพัน เป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่พัดลมก็ต้องหามาเอง กว่าทั้งห้องจะมีพัดลม หม้อหุงข้าว ตู้เย็น ก็ทำงานเก็บเงินหลายเดือนกว่าจะได้ครบทุกอย่าง
นี่แหละค่ะชีวิตของสาวโรงงาน!!
สำหรับสาวโรงงานก็จะมีชีวิตที่วนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง ทำงาน กินข้าวพักกลางวันทำงาน กลับห้อง นอน ตื่นนอน ทำงาน ชีวิตมีอยู่เท่านี้จริง ๆ
แต่ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตของฉันจะเปลี่ยนไปเมื่อเจอกับเด็กคนนี้.. เด็กที่บังเอิญมาเจอฉันในกลางดึกที่ไม่ควรจะเจอ
หลังจากที่พาเด็กน้อยผู้น่าสงสารกลับมาที่ห้องของตัวเอง ฉันเช็ดเนื้อเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายแม่สาวน้อย หาเสื้อผ้าที่ตัวเล็ก ๆ เปลี่ยนให้ พอเนื้อตัวสะอาดสะอ้านมองแล้วก็น่าเอ็นดู หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมากจนอดไม่ได้ที่จะแอบก้มลงไปหอมแก้มแรง ๆ แต่เจ้าหนูก็ไม่ยักจะตื่น
ฉันมองไปนาฬิกาแขวนที่ผนังห้องพบว่าล่วงเลยเวลาไปกว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้ว แค่เห็นเวลาก็อยากจะเป็นบ้าแล้วแหละ ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย..
พาร่างกายตัวเองไปเปิดตู้เย็นหาของที่พอจะกินได้ เหลือไข่ไก่หนึ่งฟองกับผักบุ้งที่ซื้อไว้จนเหี่ยวหลังตู้เย็น มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหลือหนึ่งซอง
ไม่ต้องเดานะ..ว่าเราจะกินอะไร
ก็นั่นแหละบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มี
โธ่ชีวิตบีบี ทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน สุดท้ายกลับห้องมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คิดถึงซุปหน่อไม้รสแซบฝีมือแม่ คิดถึงต้มไก่บ้านทั้งตัวฝีมือพ่อ นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันเป็นอะไรที่อร่อยมาก ๆ และมีความสุขแบบสุด ๆ
“ฮื้อ ๆ ๆ แม่จ๋า ฮื้อ ๆ”
เด็กน้อยที่นอนข้าง ๆ ฉันร้องไห้ละเมอกลางดึก ฉันขยับตัวเข้าไปกอดปลอบประโลมเพื่อให้เธอหลับใหล จากน้ำเสียงที่ร้องละเมอหา เธอดูเป็นเด็กที่ขาดความรักต่อแม่อย่างมาก ก็เคยเลี้ยงน้องสาวมาบ้าง เลยพอจะรู้ว่าเด็กเลี้ยงยังไง ต้องดูแลแบบไหน
กอดไม่นานเด็กน้อยก็หลับสนิทไปในวงแขนของฉัน หันไปมองนาฬิกาก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว!
โอ๊ย...บีบี พรุ่งนี้จะไปทำงานไหวไหมเนี้ย
กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน ตื่นตีสอง... เดี๋ยวตีห้าก็ต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานอีก ทำไมชีวิตวันนี้จึงเหมือนกับสวรรค์กลั่นแกล้งขนาดนี้
คิดได้ก็พยายามหลับตา...หลับ ๆ บอกตัวเองซ้ำ ๆ
พรุ่งนี้อาจจะต้องเอาเด็กคนนี้ไปส่งกับพี่ตำรวจก่อนไปทำงานด้วย ทิ้งให้อยู่ห้องคนเดียวไม่ดีแน่
และคืนนี้ฉันกับเด็กน้อยก็นอนหลับไปด้วยกันยันเช้า เป็นการนอนหลับที่แสนอุ่น เพราะได้นอนกอดใครบางคน จากที่นอนเหงากอดหมอนข้างมานาน
เป็นหลับที่แสนสุขจนเช้าของวันใหม่
“อื้ม..... เอ่อ.... เฮ้ย” ลืมตาได้ก็ต้องตกใจอย่างมาก เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นนั่งมองหน้าฉันตาใสบ๊องแบ๊ว ในหัวประมวลเรื่องราวก่อนจะขยี้ตาให้ตัวเองตื่นมากกว่านี้
“แม่จ๋า..... แม่จ๋า” เด็กน้อยเข้ามากอดตัวฉันแน่น เรียกฉันซ้ำ ๆ ว่าแม่อยู่แบบนั้น ฉันไม่ใช่แม่ของเธอสักหน่อยยัยหนู นี่ยัยเด็กคนนี้งัวขี้ตาจนหลงแม่ไปแล้ว
“เฮ้ย... พี่ไม่ใช่แม่หนูนะคะ”
“แม่จ๋า อย่าทิ้งหนู หนูรักแม่...อย่าทิ้งหนูนะคะ”
ไม่เพียงเรียกว่าแม่ เจ้าหนูยังทำหน้าตาเศร้าน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้อีกด้วย ทำเอาฉันไปไม่ถูกเลย.. ตื่นมาก็เป็นแม่คนสะอย่างนั้น
“พี่ไม่ใช่แม่หนูจริง ๆ นะ ดูหน้าพี่ดี ๆ สิ”
“ฮื้อ ๆ แม่อย่าทิ้งหนู ฮื้อ ๆ อย่าทิ้งหนูนะ” คราวนี้ร้องไห้ออกมาเลย ร้องดังมากด้วย ยิ่งฉันผลักไสออกจากตัวก็ยิ่งร้องไห้ และร้องไห้ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคับห้องไปหมดแล้ว
สรุปแล้วฉันต้องเป็นแม่ให้จริงอย่างนั้นเหรอ
เอาก็เอาวะ....แค่หลอกให้หยุดร้องก่อนละกัน
“อ๊ะ ๆ แม่ก็แม่...หยุดร้องไห้ก่อนสิ นะน๊ะ..”
“.....” เด็กน้อยหยุดร้องไห้อย่างว่าง่าย กระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าฉันอย่างน่าเอ็นดู หยุดร้องไห้ง่ายอย่างกับถูกกดปิดสวิทต์
ออกจะแปลกใจที่หยุดร้องแบบงง ๆ แต่ฉันก็กอดเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู เจ้าหนูมีความน่ารัก ยิ่งดวงตามีความบ๊องแบ๊วดูน่ากอดน่าหอมเป็นที่สุด
จนกระทั้งฉันหันมองไปที่นาฬิกา..
‘โอ๊ย! ซวยกว่าเดิม’ ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นไม่ให้ตะโกนความคิดนั้นออกมา อยากจะบ้าตายกับชีวิต
ตอนนี้เจ็ดโมงแล้ว ไปทำงานไม่ทัน ไม่ไปทำงานก็ไม่ได้เงิน โดนตัดเบี้ยขยันอีก ทำไมชีวิตต้องซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรขนาดนี้
ฉันหันมามองหน้าเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างทุกข์ท้อใจ ตอนที่มีแค่ตัวคนเดียวยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะเอาอะไรเลี้ยงหนูล่ะลูก แค่คิดก็เหมือนจะเห็นภาพข้าวคลุกน้ำปลาอยู่กลาย ๆ
“หนูอาบน้ำเป็นไหมคะ..” ฉันถามและได้คำตอบเป็นการพยักหน้า “โอเค งั้นหนูไปอาบน้ำในห้องน้ำก่อนนะ แล้วพี่จะพาออกไปซื้ออะไรกินดีไหม”
“ค่ะ...หนูหิว” สาวน้อยตอบอย่างเชื่อฟัง น่ารักน่าเอ็นดูมาก ๆ และไม่ทันได้ถามชื่อเด็กน้อยก็วิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนี้ต้องโทรไปลางานหัวหน้าก่อนจะได้ไม่เสียประวัติ ทำงานมาหลายปี ไม่เคยลางานสักวัน ต้องมาหยุดงานเพราะเด็กน้อยนี่
หลังจากคุยกับหัวหน้าเรียบร้อย ฉันเก็บที่นอนซึ่งปูกับพื้น เก็บห้องให้เป็นระเบียบและสะอาดดั่งที่ควรเป็น ก่อนจะตามเข้าไปในห้องน้ำเพราะเด็กคนนั้นหายเข้าไปนานแล้ว
แต่สิ่งแรกที่มองเห็น คือ เด็กน้อยคนนั้นเอากะละมังมารองน้ำ เปิดน้ำไหลตลอดเวลา และฟองสบู่ก็ฟุ้งไปทั่วห้องน้ำ
ไหนว่าอาบน้ำเป็นไงหละ?
ต้องโทษที่ฉันเชื่อเด็กเองใช่ไหม ?
“โอ๊ย... ตายแล้ว ๆ ค่าน้ำฉัน ..ค่าน้ำ ทำไมทำแบบนี้ล่ะค่ะลูก ไหนบอกอาบน้ำเป็นไงคะ อาบน้ำก็เอาขันตักอาบดี ๆ สิลูก” ฉันบ่นพรึมพรัมเหมือนป้าแก่ที่มีบิลค่าไฟมารอตรงหน้า
“ก็แม่เคยอาบให้หนูในอ่างใหญ่ ๆ นี่คะ...” เด็กหญิงพูดด้วยท่าทีน่ารัก ทำแววตาฉงนเหมือนว่าเธอพูดความจริงทุกอย่าง เป็นฉันที่จำไม่ได้ซะอย่างนั้น
อ่างใหญ่ ๆ? จากุชชี่เหรอ..?
นี่ลูกคนรวยเหรอ?
ฉันต้องไปตามหาพ่อแม่หนูที่ไหนกันละเนี้ย แถวนี้มีคนรวยอยู่กันไหมนะ แล้วทำไมถึงมาจำฉันว่าเป็นแม่ได้ เมื่อคืนยังเรียกพี่อยู่เลย
“หนูอาบน้ำแบบนี้ไม่ได้เหรอคะ...” เด็กน้อยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป ใบหน้ามีความสงสัยคล้ายจะถามว่าเธอทำผิดไปหรือ
ฉันหันมาสนใจเด็กน้อย มองน้ำที่มันไหลไปทั้งห้องแล้วยิ้มออกมาจาง ๆ “อ๊ะ... วันนี้ก็เละแล้ว อาบมันอย่างนี้แหละ ว่าแต่หนูชื่ออะไรล่ะ”
“สตังค์ค่ะ...”
“น้องสตังค์ เอาละ....วันนี้เรามาอาบน้ำกันดีกว่านะ”
แล้วฉันกับเด็กหญิงสตังค์ก็อาบน้ำด้วยกันจนเสร็จ
จะว่าไปการอาบน้ำกับเด็ก ๆ ก็สนุกดี สตังค์ไม่ใช่เด็กที่มีอายุน้อยจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันเลยสนุกที่ได้เล่นจนลืมดูเวลา ยังไงก็ไม่ได้ไปทำงานแล้วนี่นา จะสนใจทำไม?
“แม่จ๋า... หนูหิว...” เธอทำตาใสน่ารักใส่ฉันหลังจากที่ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ ใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อยแต่ก็ยังดูเหมาะกับเด็ก โชคดีที่เสื้อผ้าเก่า ๆ ฉันไม่ได้เก็บทิ้ง เลยมีโอกาสได้รื้อออกมาให้สาวน้อยตัวจิ๋ว ถ้าเป็นลูกสาวจริง ๆ ฉันคงทั้งรักทั้งหลงแน่
“หนูหิวข้าวคะ...”
“ออ....มัดผมเสร็จก่อนไง จะพาไปหาอะไรกินนะคะ” ฉันรีบมัดแกะทั้งสองข้างเหมือนกับที่เคยทำกับน้องสาว และนอกจากปากที่บอกว่าหิว เสียงท้องของสตังค์ก็ฟ้องตลอดเวลา
เด็กหนอเด็ก….
เมื่อทุกอย่างพร้อมฉันก็จูงมือสตังค์เดินออกไปจากห้องพัก ไปยังร้านค้าที่ขายของไม่ไกลจากห้องมาก
ฉันซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งให้กับสตังค์ ส่วนตัวเองซื้อผักและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ห้องมีข้าว...กลับไปหุงข้าวกินดีกว่า ตอนนี้เงินเหลือไม่กี่ร้อย อีกสี่วันเงินเดือนถึงจะออกยังไงก็ต้องพยายามใช้ให้ถึงสิ้นเดือนให้ได้
ก่อนกลับก็ไม่ลืมซื้อไข่เพราะสตังค์คงกินแบบฉันไม่ได้ วันนี้หลังจากกินอะไรเรียบร้อยก็คงต้องออกตามหาพ่อแม่ของสตังค์ เธออยู่กับฉันตลอดไปไม่ได้ คิดเอาไว้ว่าหากลองตามหาด้วยตัวเอง หากหาไม่เจอก็คงต้องพึ่งพาตำรวจแล้ว
“แม่จ๋า...” เด็กน้อยที่จูงมือฉันเงยหน้าร้องถาม “แม่จ๋าไม่หิวเหรอคะ”
เสียงท้องของฉันฟ้องขึ้นมาเอาดื้อ ๆ
หิวสิ หิวมากด้วยตอนนี้
ฉันมองสตังค์ด้วยความเอ็นดูก่อนจะลูบหัวอย่างเบามือ ทำไมทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูขนาดนี้ อุตส่าห์ถามไถว่าฉันหิวไหม
“กินเถอะ... กินเยอะ ๆ นะ..”
สาวน้อยเป็นเด็กที่เชื่อฟัง พอฉันบอกให้กินก็กิน สายตาของฉันมองคนตัวเล็กอย่างพินิจ มองจากผิวพรรณคงเป็นลูกคนรวยจริง ๆ ป่านนี้พ่อแม่ก็คงเป็นห่วงมากแล้วแน่
“แม่จ๋าอุ้มหนูได้ไหม หนูไม่อยากเดิน...” หลังเริ่มจะกินอิ่มก็ออดอ้อนไม่อยากเดิน เด็กหน่อเด็ก.... แต่ทั้งของที่อยู่ในมือและร่างกายของแม่สาวน้อย อย่างไรฉันก็คงอุ้มหนูสตังค์ไม่ไหวแน่
“แต่แม่ถือของ...” อุ้ย.. ฉันเผลอแทนตัวเองว่าแม่ แต่ทำไมรู้สึกดีจัง รู้สึกอยากได้เด็กคนนี้เป็นลูกจริง นี่ฉันข้ามขั้นตอนไปหรือเปล่านะ สามียังไม่มีกับเขาก็อยากจะมีลูกเสียแล้ว
“แม่ถือของเยอะเลย แม่อุ้มสตังค์ไม่ไหวแน่ หนูเดินเองได้ไหมคะคนเก่ง” ฉันพูดเสียงอ่อนหวานคล้ายจะเป็นการขอร้องอยู่กลาย ๆ
“ก็ได้ค่ะ... เดี๋ยวแม่เหนื่อย หนูไม่อยากให้แม่เหนื่อย”
โอ้ย.. เด็กอะไรน่ารักจังเลย เข้าใจอะไรง่าย ๆ ไม่ดื้อ
เดินกินข้าวเหนียวหมูปิ้งจนมาถึงห้องเช่า ตอนนี้ท้องน้อย ๆ ของสตังค์พองโตด้วยความอิ่ม มาถึงห้องเธอก็กินน้ำจนท้องกลมเป็นลูกบอลแล้วนอนดูทีวีสบายใจ
หากมีลูกน่ารักแบบนี้จริง ๆ ก็คงดีสินะ
ส่วนฉันทำอะไรเหรอคะ หุงข้าว! และเอาผักมาผัดเป็นอาหารสำหรับใกล้เงินเดือนออก อาหารสำหรับสาวโรงงานอย่างฉันที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต ช่วงแรก ๆ ที่มาทำงาน ข้าวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็เคยกินมาแล้ว
หลังจากที่ทำอะไรจนเสร็จ...ฉันเข้ามาหาสตังค์พบว่าเธอนอนหลับไปแล้ว เด็กหนอเด็ก กินอิ่มก็นอนหลับ... เป็นชีวิตที่แสนจะมีความสุขแท้
ฉันเอาผ้าห่มมาห่มให้กับคนที่นอนหลับอย่างสบายใจ มีเสียงการ์ตูนจากทีวีที่เปิดอยู่ พัดลมหนึ่งตัวที่เปิดเข้าหา เปิดประตูหน้าหลังให้ลมพัดเข้ามาในห้อง คนที่กินอิ่มเจอบรรยากาศแบบนี้ก็เลยหลับไป
มองแล้วก็ได้แต่ยิ้มก่อนที่ฉันจะกลับไปนั่งกินข้าวเงียบ ๆ คนเดียว ระหว่างที่นั่งกินข้าวก็ยังคิดว่าฉันจะไปตามหาพ่อแม่สตังค์ที่ไหนดี ต้องเริ่มจากตรงไหน และจุดที่สำคัญเลย...หากสุดท้ายหาพ่อแม่ของเจ้าหนูไม่พบ ชีวิตของเด็กหญิงที่น่าสงสารจะเป็นอย่างไรต่อไป