บทที่ 4 ตกใจไม่ไหว

3373 Words
รถของจัสท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่บริเวณหน้ากุฏิของเจ้าอาวาส ทันทีที่ทั้งคู่เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ เสียงนกร้องประกอบกับเสียงใบไม้ที่สีกันไปมาเมื่อถูกลมพัดก็ดังชัดขึ้น เสียงระฆังดังแว่วมาแต่ไกลๆ เฟรนด์หันมองซ้ายขวาเพราะอยากจะได้ใครสักคนมาช่วยขนของเข้าไปข้างในกุฏิ “วันนี้ไม่มีใครอยู่เหรอเนี่ย” เฟรนด์พูดพลางค่อยๆ ทยอยยกของลงจากท้ายรถโดยมีจัสท์คอยยืนช่วยอยู่ข้างๆ “มาบ่อยเหรอครับที่นี่” “ก็บ่อยนะ ส่วนใหญ่ก็วันพระ หรือวันไหนไม่สบายใจก็แวะมาบ้าง” เฟรนด์ตอบ “อ่อครับ” “อย่ามัวแต่ชวนคุย มาช่วยกันยกของหน่อย ตัวก็โตอย่ามาอู้” คนตัวเล็กบ่นอีกฝ่ายก่อนจะยกถุงใส่ของถุงแรกเดินเข้าไปด้านใน “เจ้าอารมณ์จริงๆ เล้ย!” จัสท์เอ่ยพูดเสียงดังไล่หลังเฟรนด์ที่ล่วงหน้าเข้าไป แล้วจึงคว้าเอาของจำพวกแพคใหญ่ๆ เดินตามเข้าไป ของจำนวนมากที่ทั้งสองคนซื้อมาถูกขนเข้ามาวางไว้ด้านหน้าเจ้าอาวาสจนครบ แม้จะต้องเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายรอบท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ แต่ทั้งจัสท์และเฟรนด์ต่างก็ไม่บ่นออกมาเลยสักครั้ง จะมีก็แต่จิกกัดกันเองตามประสามากกว่า “นมัสการครับหลวงพ่อ” เฟรนด์วางของลงกับพื้นแล้วนั่งลงกราบเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่ด้านใน จัสท์เดินตามมานั่งลงข้างๆ แล้วทำตาม “เจริญพร วันนี้ขนมาซะเยอะเลยโยม” “พอดีเพื่อนอยากมาทำบุญด้วยครับหลวงพ่อ เลยรวมๆ กันมาครับ” เฟรนด์ตอบกลับพลางหันไปมองจัสท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ “ครับ” คนตัวสูงนั่งขัดสมาธิยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าอาวาส เพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ยังไม่ค่อยชินกับการเข้าวัดสักเท่าไหร่ “ไม่ค่อยได้เข้าวัดสินะ” เฟรนด์เอ่ยแซวโดยมีหลวงพ่อมองแล้วยิ้มให้ ส่วนจัสท์ก็ได้แต่นั่งยิ้มนิ่งอยู่แบบเดิม “ต้องทำไรต่ออ่ะ” คนตัวสูงเอนตัวมากระซิบถามที่ข้างหูคนตัวเล็ก “ไม่ได้เรื่อง!” เฟรนด์เบะปากใส่อีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิ้มให้หลวงพ่อที่นั่งมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น คนตัวเล็กกล่าวนำสวดบทถวายสังฆทานด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว โดยมีจัสท์ที่นั่งพึมพำตามอยู่ด้านข้าง พอสวดเสร็จทั้งคู่ก็ช่วยกันขยับสิ่งของที่นำมาถวายสังฆทานให้เคลื่อนเข้าไปใกล้กับหลวงพ่อมากขึ้น เพื่อที่จะได้ประเคนให้ถึงมือของหลวงพ่อได้ง่าย แต่เพราะของที่นำมาถวายมีจำนวนมากหากจะรอยกทั้งหมดก็คงจะใช้เวลานาน หลวงพ่อจึงนำผ้าประเคนออกมาวางรองแล้วอาศัยให้ทั้งเฟรนด์และจัสท์ขยับสิ่งของต่างๆ มาชิดติดกันแทนเพื่อจะได้ประหยัดเวลา “เดี๋ยวกรวดน้ำนะโยม” หลวงพ่อพูดออกมาด้วยเสียงนุ่ม เฟรนด์จึงค่อยๆ ลุกคลานไปเอาที่กรวดน้ำที่วางอยู่ไม่ไกลมาไว้ตรงหน้าระหว่างตัวเองกับคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ เฟรนด์เอามือเปิดฝาที่กรวดน้ำทองเหลืองแล้วค่อยๆ ยกขึ้นมาเตรียมจะกรวดน้ำ มือหนาของจัสท์ก็ตรงเข้าแตะที่แขนเรียวของอีกฝ่าย พอได้รับรู้ถึงสัมผัสบริเวณแขนของตัวเองเฟรนด์ก็เหลือบตาหันมองแล้วอมยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างน้อยก็ยังพอรู้เรื่องบ้างแหละนะ... ทั้งเฟรนด์และจัสท์นั่งพนมมือกันต่อจนกระทั่งเสียงสวดมนต์ที่ต่อเนื่องยาวนานมาพักใหญ่ได้สิ้นสุดลง ทั้งคู่ก้มลงกราบพระก่อนจะกลับมานั่งในท่าปกติ “เดี๋ยวมานะ” เฟรนด์หันไปบอกจัสท์แล้วยื่นมือไปคว้าเอาที่กรวดน้ำเดินออกไปด้านนอก ส่วนจัสท์น่ะเหรอ.. ก็ได้แต่นั่งยิ้มเจื่อนสบตาไปมากับหลวงพ่อที่นั่งอยู่ตรงข้าม เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะต้องคุยกับพระยังไง เขาหันซ้ายหันขวาไปมาอยู่หลายที ก่อนจะล้วงเอามือถือขึ้นมาไถดูเพื่อแก้เก้อ แต่ก็ไม่ได้ช่วยได้มากเท่าไหร่นัก พลันสายตาของเขาหันไปเห็นสังฆทานกองโตที่เพิ่งถวายไป เขาจึงหันไปเอ่ยถามกับหลวงพ่อ “ของพวกนี้ให้เอาไปไว้ตรงไหนมั้ยครับ” “ไม่เป็นไรโยม เดี๋ยวอาตมาให้คนมาขนเอง” “อ่อ ครับ” “ให้พวกผมช่วยยกก็ได้นะครับ ของมันเยอะขนาดนี้” เฟรนด์เดินกลับเข้ามาด้านในพร้อมกับที่กรวดน้ำที่คว้าออกไปเมื่อครู่ เขาเอามันกลับไปวางไว้ในที่เดิมเหมือนกับตอนแรกที่หยิบมันมา “ไม่เป็นไรๆ ให้พวกเด็กๆ มันได้ทำงานบ้าง มากินข้าววัดแล้วก็ให้ทำงานตอบแทนมั่ง” หลวงพ่อเอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี เฟรนด์และจัสท์ที่ได้ฟังก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ปังงง!!! เสียงโครมครามดังขึ้นที่ด้านหน้ากุฏิทำเอาทั้งหลวงพ่อทั้งจัสท์เฟรนด์สะดุ้งตัวโยนไปตามๆ กัน “เล่นซนอะไรกันอีกแล้วแน่ๆ” หลวงพ่อเอ่ย ไม่นานก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านในกุฏิแล้วยกมือไหว้ปลกๆ “ขอโทษครับ” “เล่นอะไรกันอีกล่ะโยมต๊อด” “เตะบอลกันอยู่ครับหลวงพ่อ” “เล่นระวังๆ กันด้วยล่ะ อย่าให้ข้าวของพังเหมือนคราวก่อน” “ครับๆ” เด็กวัดที่ชื่อต๊อดรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไปข้างนอก “งั้นพวกผมสองคนขอลาเลยแล้วกันนะครับ” เฟรนด์เอ่ยปากบอกหลวงพ่อแล้วก้มลงกราบ โดยมีจัสท์ที่นั่งข้างๆ คอยทำตามอยู่ทุกท่วงท่า ทั้งสองคนเดินออกมาจากกุฏิหลวงพ่อตอนแรกเฟรนด์กำลังจะเดินตรงไปยังรถของจัสท์ เพราะอยากกลับบ้านเนื่องจากอากาศมันร้อนมากเกินไป เหงื่อไคลก็ไหลออกมาไม่หยุดจนเขารู้สึกเหนียวตัวไปหมดแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงทุ้มของคนตัวสูงพูดดังขึ้นมา “ปลาคาร์ฟนี่น่ารักจัง” จัสท์เอ่ยทักเมื่อเดินผ่านบ่อปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น เฟรนด์หันหลังกลับมาแล้วเดินเข้าไปดู “ตัวใหญ่เหมือนกันแฮะ” “ช่าย น่ารักเนอะ” จัสท์พูดพลางหันมามองหน้าเฟรนด์แล้วยิ้มกว้าง ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจของเฟรนด์กระตุกเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะจุดอ่อนของเขาก็ยังคงหนีไม่พ้นคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน และแม้ว่าเรื่องราวแย่ๆ ในอดีตจะทำให้เฟรนด์ตัดใจจากจัสท์ไปได้บ้างแล้ว แต่พอได้กลับมาเริ่มใกล้ชิดอีกครั้ง มันก็เรียกเอาความรู้สึกเก่าๆ ของเฟรนด์ให้กลับมาอีกครั้งเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าจัสท์เองก็ยังคงไม่รู้ตัวอยู่ดี... ผมเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยหรอ... มันถึงจำผมไม่ได้... “คุณ..” เสียงทุ้มของจัสท์เอ่ยเรียก “ห้ะ!!ครับ” เฟรนด์สะดุ้ง “เป็นอะไรครับ เหม่อเชียว” “ปะ.. เปล่าครับ” คนตัวเล็กปฏิเสธแล้วรีบหันหน้ากลับไปมองดูปลาคาร์ฟในบ่อ โดยมีคนตัวสูงยืนหัวเราะบางๆ อยู่ด้านข้าง ทั้งคู่เดินออกจากบ่อปลาคาร์ฟมาหลังจากที่เชยชมกันอยู่พักใหญ่ จัสท์หันไปเห็นซุ้มเล็กๆ ที่ทางวัดตั้งไว้เพื่อขายอาหารปลาก็อดใจไม่ไหวที่จะเดินเข้าไป เพราะเขาเป็นคนที่หลงใหลและชื่นชอบปลาเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว “หยอดตู้ได้เลยจ้า” เสียงคุณป้าที่นั่งอยู่ด้านในซุ้มพูดลอดออกมาหลังจากเห็นชายหนุ่มสองคนกำลังเดินเข้ามาที่หน้าซุ้ม “ถุงเท่าไหร่นะครับ” จัสท์เอ่ยถาม “20 จ้ะ หยอดตู้ได้เลยลูก” “เอ่อ.. แต่ผมมีแต่แบงก์ร้อยอ่ะครับ” จัสท์ชูแบงก์สีแดงในมือขึ้นให้อีกฝ่ายดู “ป้าทอนให้ได้นะ เอามั้ย? กี่ถุงดี” “คุณ จะเอากี่ถุง” คนตัวสูงหันมาถามเฟรนด์ที่ยืนนิ่งมองอยู่ตรงนั้น “คนละถุงก็พอ” เฟรนด์ตอบ “งั้นเอาอาหารปลา 2 ขนมปัง 2 ครับป้า” จัสท์หันไปบอกกับคุณป้าในซุ้มหลังจากที่ได้ยินคำตอบของคนตัวเล็ก จัสท์ยื่นมือไปคว้าเอาอาหารปลาแบบเม็ดมาสองถุงกับขนมปังอีก 2 ถุงแล้วยื่นให้เฟรนด์ก่อนจะหันไปรับเงินทอนที่คุณป้าอุตส่าห์ไขตู้บริจาคเอาออกมาให้ เขาโค้งหัวแล้วยิ้มบอกลาให้คุณป้าก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากตรงซุ้มนั้น ทั้งคู่เดินตรงไปยังบริเวณริมน้ำโดยมีเฟรนด์เป็นฝ่ายเดินนำหน้า เพราะเขามาที่วัดนี้อยู่บ่อยครั้งจัสท์จึงให้โอกาสคนตัวเล็กได้ทำหน้าที่เสมือนเป็นไกด์นำทางให้กับเขา “นี่คุณ ผมถามอะไรหน่อยสิ” จัสท์เอ่ยถามขึ้นระหว่างทางที่เดินไปริมน้ำ “อะไรครับ” “คุณเอากล้องมาทำไมครับ ไม่เห็นถ่ายอะไรเลย” จัสท์เอ่ยถามปนน้ำเสียงหัวเราะ “ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรนี่” “ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรนี่!!” จัสท์พูดพลางทำสีหน้าล้อเลียนคำพูดของเฟรนด์ “นี่คุณ!!!” เฟรนด์ง้างมือจะทุบแต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้ทัน “ผมล้อเล่นหรอกน่า.. ก็เห็นตอนแรกคุณบอกว่าเอากล้องมาเพราะจะทำคอนเทนต์ แต่ก็ยังไม่เห็นคุณเอาออกมาถ่ายซะที ก็เลยสงสัย” “ตอนแรกก็ตั้งใจงั้นแหละ แต่พอมาถึงวัดทำนู่นทำนี่ก็ขี้เกียจถ่ายไปซะงั้น” พรึ่บบบบ!!!! “เชี่ยยย!!” เฟรนด์ร้องตกใจเมื่อฝูงนกพิราบกระโจนบินขึ้นฟ้าเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงบริเวณท่าน้ำของวัด “ฮ่าๆๆๆ” คนตัวสูงหัวเราะดังลั่น โดยมีสายตามองค้อนของคนตัวเล็กจับจ้องอยู่อย่างไม่คาดสายตา “ตลกมากเหรอ” เสียงงอนของเฟรนด์เอ่ยถามขึ้น “ช่าย นี่ถ้าเมื่อกี๊ถ่ายไว้คงได้คอนเทนต์นะครับ” จัสท์พูดแซวแล้วเดินไปยังริมน้ำ จัสท์ค่อยๆ แกะถุงอาหารปลาออกก่อนจะค่อยๆ โปรยอาหารลงไป ฝูงปลาที่อัดแน่นอยู่ตรงนั้นแหวกว่ายแย่งชิงอาหารกันขวักไขว่ จะว่าไปมันก็ดูน่าอดสูอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเห็นปลาน้อยใหญ่เบียดเสียดกันเพื่อยื้อแย่งอาหารสำหรับต่ออายุชีวิตของตัวเอง บางตัวก็เป็นแผลบาดเจ็บจากประชากรที่หนาแน่ แต่คนเราก็ยังไม่วายที่จะชื่นชอบการทำทานในลักษณะนี้อยู่ หรืออาจเพราะพวกเขาคิดว่าปลามันไม่มีความรู้สึกล่ะมั้ง.. “คุณมาเร็ว ปลาเต็มเลย” จัสท์กวักมือเรียกเฟรนด์ที่กำลังยืนมองอยู่ห่างๆ ให้เดินเข้ามาใกล้ๆ “น้ำมันกระเด็นอะคุณ” เฟรนด์ทำหน้าหยี “มาเหอะน่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำ” คนตัวสูงเดินเข้ามาลากแขนคนตัวเล็กให้เดินตามไปที่ริมน้ำ ก่อนจะกำเอาอาหารปลาที่เหลืออยู่ก้นถุงโปรยลงไปบริเวณที่ใกล้ฝั่ง เพราะอยากจะแกล้งให้อีกฝ่ายได้ตกใจเล่นๆ “นี่คุณ!!!!” เฟรนด์ร้องเสียงหลงเมื่อฝูงปลากระโดดมาแย่งอาหารกันจนน้ำในแม่น้ำกระเซ็นไปทั่วจนทั้งคู่เปียกเปรอะเป็นจุดด่างไปเต็มเสื้อผ้า “เอาหน่าคุณ นิดเดียวเอง” จัสท์ยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือมาคว้าเอาถุงอาหารปลาจากมือของเฟรนด์ไปแกะให้ “ขอบใจ” เฟรนด์รับเอาถุงอาหารปลากลับมา ก่อนจะค่อยๆ หยิบแล้วปาอาหารออกไปไกล “เอามือถือคุณมาหน่อยเร็ว” คนตัวสูงพูดพลางแบมือยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ทำไมอ่ะ” เฟรนด์ถามกลับด้วยความสงสัย “จะถ่ายสตอรี่ให้ไงครับ” “อ่อ” พอรู้เหตุผลของสิ่งที่คนตัวสูงบอกเฟรนด์ก็คว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่ยัดไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงขึ้นมาปลดล็อกแล้วยื่นให้ จัสท์กดเปิดแอพลิเคชั่นอินสตาแกรมทันทีเพื่อถ่ายสตอรี่ให้อีกฝ่าย “วิดีโอหรือบูมเมอแรงอ่ะ” คนตัวสูงเอ่ยถาม “วิดีโอก็ได้” “พร้อมมั้ยครับ” “อือ” เฟรนด์พยักหน้ารับก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายสตอรี่ไอจี “เอานะ 1 2 3…” จัสท์เริ่มนับเป็นสัญญาณให้เฟรนด์ได้เตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มถ่าย ทันทีที่สิ้นเสียงนับของคนตัวสูง ปุ่มบันทึกก็ถูกนิ้วเรียวหนากดลงไป ส่วนคนตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้ากล้องก็ยิ้มให้กล้องแล้วหันกลับไปโยนให้อาหารปลาถุงในลงไปในแม่น้ำจนหมด “ได้ป้ะ” เฟรนด์เดินเข้ามาถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ได้อยู่ครับ นี่ไง” คนตัวสูงยื่นมือถือให้อีกฝ่ายดู “หึ้ยยยย น่ารักกก” เสียงเฟรนด์ร้องงุ้ยทันทีที่เห็นคลิปของตัวเอง “เดี๋ยวนะ ชมตัวเองก็ได้เหรอคุณ” จัสท์หัวเราะถาม “ทำไม มันไม่น่ารักหรอ” เฟรนด์พูดพลางส่งสายต่าอ้อน “น่ารักสิครับ” เสียงทุ้มชวนอบอุ่นหัวใจดังลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตัวสูง ทำเอาจังหวะหัวใจของเฟรนด์เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ตึกตัก ตึกตัก... คนตัวเล็กรีบผละออกแล้วถอยห่างจากจัสท์เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงขึ้น ด้วยกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้เข้าแล้วจะโดนล้อ ก็ไอ้คนตัวโตนี่มันยิ่งปากหมาอยู่ด้วย... “คุณ!ระวัง!” จัสท์ร้องลั่นพร้อมยื่นมือไปคว้าตัวของอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่ากำลังถอยไปโดยไม่ทันได้มองข้างหลัง ตู้มมม!! ไม่ทัน... เพราะความซุ่มซ่ามเลยทำให้เฟรนด์ที่ผละถอยหลังห่างออกไปไม่ทันได้ระวัง จึงพลาดพลัดตกลงแม่น้ำไป ทีแรกจัสท์ก็ยืนมองด้วยความตกใจแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของคนตัวเล็กโผล่พ้นน้ำขึ้นมา “ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยคุณ รีบขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวปลาตอดเอานะ” “...” “คุณ..” จัสท์น้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าท่าทีและสีหน้าของเฟรนด์ดูผิดแผกแปลกไป จากเสียงหัวเราะก็กลายเป็นความกังวล เขารีบร้องตะโกนแล้ววิ่งเข้าไปใกล้ท่าน้ำมากขึ้น “คุณ!!!” คนตัวสูงพยายามหันมองซ้ายขวาเพื่อหาคนช่วย แต่ก็ไม่มีวี่แววที่จะมีใครสักคนผ่านมา พลันสายตาก็หันไปเห็นห่วงยางเก่าๆ ที่แขวนไว้ตรงเสาที่อยู่ริมท่าน้ำ ทีแรกเขาก็นึกจะวิ่งไปคว้าเอาห่วงยางโยนไปให้เฟรนด์ที่กำลังตะเกียกตะกายให้ตัวเองรอดพ้นจากการจมน้ำ แต่พอเห็นสภาพห่วงยางก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจทันที ตู้มมม!! จัสท์ตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำแล้วว่ายเข้าไปช่วยเฟรนด์ทันที เขาใช้แขนขวาข้าที่ถนัดล็อคเข้าที่คอของเฟรนด์แน่น เพื่อที่คนตัวเล็กจะได้ไม่กอดก่ายวุ่นวายจนทำให้จมน้ำตายกันไปทั้งคู่ เขาค่อยๆ ว่ายเข้ามาที่ฝั่งแล้วเรียกเสียงดังเพื่อให้เฟรนด์ได้สติจากอาการตกใจ “คุณ!!” เฟรนด์ยังคงหอบหายใจแรงและไม่ได้ยินเสียงที่อีกฝ่ายเรียก “เฟรนด์!!!!!” จัสท์ตะโกนลั่นเข้าที่ใบหน้าของคนตัวเล็ก สายตาโฟกัสกลับมาเป็นสัญญาณให้เขารู้ว่าเฟรนด์ตั้งสติได้แล้ว มือข้างที่เหลือของจัสท์เกาะริมตลิ่งไว้แน่น ส่วนอีกมือที่ล็อกคอเฟรนด์ไว้ก่อนหน้านี้ก็พยายามช่วยพยุงให้เฟรนด์เอามือคว้าจับตลิ่งไว้ “ปีนขึ้นไปไหวมั้ยคุณ” จัสท์เอ่ยถามออกไปโดยที่เฟรนด์ก็พยักหน้ารับเบาๆ ทั้งจัสท์และเฟรนด์ป่ายปีนขึ้นจากน้ำกันอย่างทุลักทุเล ทั้งคู่หอบหายใจแรงเมื่อปีนขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย แสงแดดจ้าที่ส่องมาก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากระตือรือร้นในการหลบหลีกสักเท่าไหร่ เพราะใจยังคงพะวงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยจากการเอาชีวิตรอดมาได้หมาดๆ อีกด้วย “ขอบคุณนะ” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางมองจ้องไปทางจัสท์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ไม่เป็นไรครับ ปลอดภัยก็ดีแล้ว” “อือ” คนตัวเล็กพยักหน้า “วันหลังก็ระวังหน่อยแล้วกันครับ อาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนวันนี้อีก” จัสท์เตือนด้วยความเป็นห่วง “รู้แล้วน่า..” คนตัวเล็กเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงงอแง เหมือนไม่ค่อยพอใจ “นี่คุณ.. ที่พูดเนี่ย เพราะผมเป็นห่วงนะ” เสียงทุ้มนิ่งจากปากของจัสท์ทำเอาเฟรนด์หยุดชะงักไปอีกครั้งเมื่อได้ยิน “เออๆ รู้แล้ว ขอบใจมาก” เฟรนด์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกอดอกตัวสั่น “หนาวชะมัด” จัสท์รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปประคองอีกฝ่าย “ไปที่รถผมก่อนดีกว่า มีผ้าขนหนูอยู่ครับ” คนตัวสูงเดินประคองคนตัวเล็กให้เดินตามไปยังรถของตัวเอง ระหว่างทางที่เดินผ่านพวกเด็กวัดก็มีบ้างที่โดนหัวเราะและโดนแซวแต่จัสท์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มเขินๆ ออกไป มีแต่เฟรนด์ที่ก้มหน้างุดเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพของตัวเองในตอนนี้ ทันทีที่เดินมาถึงรถจัสท์รีบเปิดท้ายรถแล้วหยิบกระเป๋าใบโตออกมาก่อนจะเปิดแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูในนั้นออกมาพากไว้ที่ไหล่ของตัวเอง “คนอะไรพกผ้าขนหนูด้วย” เฟรนด์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ก็ผมไปฟิตเนสทุกวันนี่คุณ ก็ต้องพกสิครับ” เฟรนด์ไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับแล้วเสหน้ามองไปทางอื่น เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะในเวลานี้ไอ้คนตัวสูงที่อยู่ในสภาพเปียกปอนแบบนี้ก็ทำเอาใจของเขาบางอยู่เหมือนกัน ผมเปียกๆ แบบนั้น.. เท่ชิบหาย.. จะบ้าตายรายวัน... “มา.. ผมเช็ดหัวคุณให้” จัสท์บอกพลางดึงตัวเฟรนด์ให้เข้ามาใกล้ “เห้ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวทำเอง” เฟรนด์ปฏิเสธแล้วพยายามดึงผ้าขนหนูจากมือของจัสท์ แต่คนตัวสูงก็ออกแรงดึงรั้งไว้ “อย่าเล่นตัวน่ะคุณ มา!” จัสท์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง เฟรนด์ก็เลยหน้าจ๋อยค่อยๆ เดินเข้ามายืนพิงที่ท้ายรถก่อนที่คนตัวสูงจะเอาผ้าขนหนูวางบนหัวแล้วออกแรงเช็ดให้เบาๆ แต่ชุดขาวที่เฟรนด์ใส่มาพอมันเปียกน้ำจนผ้าแนบเนื้อมันก็ชวนให้ดึงสายตาของจัสท์ไปได้อยู่ไม่น้อย สายตาคมสอดส่ายมองไปขณะที่สองมือก็วุ่นอยู่กับการเช็ดหัวให้เฟรนด์ไปด้วย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยบางอย่างบริเวณอกซ้ายที่ปรากฏขึ้นให้เห็นแบบรำไรผ่านเนื้อผ้าของชุดขาวที่แนบเนื้ออยู่นั้น “หน้าอกคุณ.. แผลเป็นเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่ครับ” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง “แล้วรอยอะไรเหรอครับ?” “นี่.. จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” เฟรนด์ถามอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินแบบนั้นก็ลดมือที่กำลังเช็ดหัวอีกฝ่ายลงแล้วจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ “ครับ?” มือบางของเฟรนด์ค่อยๆ ยกขึ้นมาจับที่ปกเสื้อแล้วเคลื่อนออกเพื่อเผยให้เห็นรอยปานแดงทีบริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้น “ทีนี้จำได้หรือยัง” “ห้ะ?” จัสท์ยังคงอุทานออกมาด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆ หรอ” เฟรนด์ถามย้ำแต่ครั้งนี้สรรพนามได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว ดวงตาคมของจัสท์เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงมองที่รอยปานแดงนั้นอีกครั้งแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึง “นี่คุณ.. อะ.. ไอ้เฟรนด์ ห้อง 8 หรอ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD