01
คุยกันก่อนฮะ
ในที่สุดก็เดินทางกันมาถึงครึ่งปีหลัง แล้วได้ฤกษ์งามยามดีเปิดเรื่องที่แพรอยากเขียนมานานมาก ๆ แล้วค่ะ สาเหตุที่ตัดสินใจเขียนเรื่องนี้เพราะดันไปได้ยินเพลงที่คุณปู่เปิดเอาไว้เข้า ตอนกลับต่างจังหวัด 555555 (เพลงที่ว่าแปะให้ในเพลย์ลิสต์แย้ว)
เนื้อเรื่องมีภาษาถิ่นที่ research แทบจะทุกคำเพราะกลัวมันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นส่วนนี้หากผิดพลาดประการใด คุณรี้ดสามารถทักท้วงเข้ามาได้เลยค่ะ
*ทุกเรื่องราวเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่ง*
*ตัวละครมีความเป็นมนุษย์*
*ทุกคนบนโลกล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนเอนจอยไปกับเรื่องราวของเสี่ยเพชรและหนูบัวหอมค่ะ!
**********
“ข้าวเช้า แต่สั่งตอนตีสองได้แล้วครับเสี่ย!”
เสียงวิ่งขึ้นบ้านทรงไทยโบราณหลังใหญ่ซึ่งโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติรอบตัวในช่วงเวลาพระอาทิตย์สาดส่อง ส่งผลให้คนที่ตื่นเช้าอยู่เป็นประจำ เนื่องจากต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกายตามกิจวัตร พร้อมทั้งจัดสรรมื้อเช้ารอภรรยาได้แต่ถอนหายใจ กรอกตาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่มาก่อนตัวของหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งเหลือแค่เขาเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียว เพราะพี่ชายกับพี่สะใภ้นั้นได้ล่วงลับไปก่อนจากอุบัติเหตุความประมาทเลินเล่อของเพื่อนร่วมถนนเมาแล้วขับเมื่อหลายสิบปีก่อน
“เอ็งจะเสียงดังทำไมไอ้ปราบ”
ความจริงคนอย่าง ‘สิบเพชร พรรณรายณ์’ หรือที่ชาวบ้านที่นี่มักจะเรียกกันว่าเสี่ยเพชรเจ้าของโรงสี ตลาดใหญ่ในตัวอำเภท และควบรวมไปถึงกิจการร้านทองนั้นคิดว่าตนเองคงจะไม่สามารถเลี้ยงดูใครหรือมีครอบครัวอย่างเช่นทุกวันนี้ได้
ทว่าพอเอาเข้าจริงชีวิตที่เคยแต่หักโหมอยู่กับการงานก็ต้องเพลาลงตั้งแต่ที่เขาต้องกลายเป็นผู้ปกครองของปราบตอนอายุ 9 ขวบ ยังดีที่สิบเพชรพรรณรายณ์นั้นมีคนรักอยู่ข้างกายเรื่อยมา ก่อนจะตกลงปลงใจแต่งอยู่กินกันมาร่วมสามปีให้หลัง มันราบเรียบแต่ก็มีความสุขดีในทุกวัน
หากแต่มีแค่เขาเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบที่คิดเช่นนั้น
“ก็เสี่ยนั่นแหละครับ คนแดกเหล้ากับเพื่อนอยู่ดี ๆ ก็โทรให้กลับบ้านพร้อมใช้ไปต่อแถวซื้อข้าวมาถวายอีก โตจนมีเมียแล้วไม่ใช่เหรอ บอกเมียทำให้กินบ้างดิ ไม่ใช่ผมอยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องขับรถกลับมาหาให้กิน หรืออีกทางคือย้ายไปอยู่ในเมืองไหมเสี่ย แบบนั้นถ้าอยู่ร้านเหล้าก็จะกดแอปให้คนเอาไปส่งถึงที่”
“กดแอปอะไรของเอ็ง”
“โอ้ย สมเป็นคนที่ใกล้จะสี่สิบจริง ๆ เหม็นกลิ่นแก่”
“ไอ้ปราบ ข้าเพื่อนเล่นเอ็งเหรอ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”
“พอเถอะครับเสี่ย ซึ่งพูดยิ่งแก่เนี่ย”
“เอ็งจะเอา?”
“อะ ๆ สงสัยโมโหจริงและ ขอโทษได้ไหมล่ะค้าบ”
“ถ้าไปอยู่ในเมืองแล้วใครจะดูตลาดกับร้านทองที่นี่ เอ็งมันได้เรื่องมากมั้ง”
“แรงกับใจหลานมาก”
“เริ่มทำอะไรให้มันเป็นชื้นเป็นอันได้แล้ว ก็รู้อยู่ว่ายังไงข้าก็จะยกมันให้เอ็ง”
“ไม่เอาอะครับ ชอบไถนามากกว่า เสี่ยเก็บไว้เปย์เมียเถอะ”
ปราบวางข้าวต้มร้านดังในตัวเมืองพร้อมกับอาหารเช้าอีกหลายสิ่งอย่างลงบนโต๊ะรับประทานอาหารกลางบ้าน เมื่อคืนตอนอ่านข้อความผู้ปกครองแล้วเห็นระบุร้านมาแบบนี้มาโดยตรง แน่นอนว่าคงจะไม่ใช่อาเขาที่อยากจะทานมันหรอก เพราะเสี่ยเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ปรามอยู่กับอามาตั้งแต่เด็กจนโต เห็นเขาพยายามทำงานและกิจการทุกอย่างที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้จนบางครั้งยุ่งแทบไม่มีเวลาหาอะไรใส่ปากให้ตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำ หรือถ้ามีน้อยหน่อยก็จะนั่งกินที่พื้นกับพวกคนงานในไร่นาไปเลย
ไม่บอกว่าเป็นเศรษฐีในจังหวัดใหญ่ของภาคอีสานบางวันนึกว่ากรรมกรแบกหาม!
ยังงงอยู่เลยว่าทำไมถึงได้เมียลูกคุณหนูที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาแต่งงานด้วย แต่อาเขามันก็หล่อสุดในจังหวัดแล้วไหม จำได้ว่าตอนแต่งงานสาวน้อยสาวใหญ่อกหักตามกันไปครึ่งจังหวัด
และปราบจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าช่วงนี้ไม่รู้สึกระแคะระคายในหัวใจแปลก ๆ ทั้งยังเข้าใจว่าผู้หญิงทุกวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องตื่นขึ้นมาแต่ไก่โห่เพื่อปรนนิบัติสามีทุกอย่างก็ได้ ทว่าตั้งแต่แต่งกันมาเด็กหนุ่มยังไม่เคยเห็นคุณนายเจ้าของโรงสีตื่นก่อนผู้เป็นอาเลยสักครั้ง
ไม่นับรวมเรื่องที่เสี่ยเพชรเลี้ยงดูปูเสื่อหล่อนเป็นอย่างดี งานบ้านไม่ให้แตะ เท้าแทบจะลอยพื้นเป็นนางฟ้านางสวรรค์ คงไม่ต้องพูดถึงงานนอกบ้านที่อาเขาไม่ให้ทำเลย แค่ผิวโดนแสงแดดนิดเดียวยังไม่ได้ ทีกับหลานใช้เหมือนวัวเหมือนควาย ถ้าไถนาแทนไอ้ดำลูกรักเสี่ยได้คงจะเรียกให้ปราบไปทำแทนแล้วจริง ๆ
“ปราบ”
“ขะ...ขอโทษครับเสี่ย”
แตะไม่ได้เลย เมียหรือพระอรหันต์!
“อ้าว ปราบมาเหรอคะ ว่าแต่กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ น่าสนุกเชียว”
เด็กหนุ่มที่กล่าวขอโทษออกไปเมื่อสักครู่ทำเพียงแค่ไหวไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะเลือกเดินผ่านบุคคลทั้งสองเพื่อเข้าห้องนอนของตนเอง ทั้งยังหาวหวอดออกมาแบบไม่รักษามารยาทใด ๆ
เย็นวานหลังจากที่เก็บของออกจากหอพักหมด ปราบก็มีนัดดื่มสังสรรค์ต่อกับเพื่อน หรือจะเรียกอีกอย่างคือเลี้ยงส่งอำลากันก่อนจะแยกย้ายไปใช้ชีวิตผู้ใหญ่ ตัวเขาเองยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเอาอย่างไรต่อดีหลังจากที่เรียนจบ เช่นนั้นกลับมาเลี้ยงควายตอบแทนพระคุณผู้เป็นอาก็คงจะไม่เลวเท่าไหร่
เสียอย่างเดียวคือปราบไม่ชอบอาสะใภ้ คิดได้ดังนั้นดวงตาคมของเด็กหนุ่มก็อ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าใส่ใจเลย”
“หลานพี่ไม่ชอบอะไรเกดหรือเปล่าคะ เราอยู่กันมาตั้งนาน แต่งกันก็สามปีแล้ว เขายังทำกิริยาส่อสกุลแบบนี้ใส่เกดให้เห็นอยู่ตลอด” เกศินีทนกับเด็กนิสัยเสีย ทั้งยังเอาแต่ใจแต่เล่น เสเพลแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับคนตรงหน้า ได้ข่าวว่าวันนี้ให้คนของสามีหล่อนไปขนข้าวของกลับมาจากหอพักในเมือง แปลว่าเด็กหนุ่มกะจะใช้ชีวิตเกาะติดผู้เป็นอาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ งั้นหรือ ช่างเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องแบบที่คิดเอาไว้เสียจริง
“ปราบวัยกำลังโต ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าถือสาเลย”
“วัยกำลังโต? เด็กคนนั้นเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะคะ ต้องรอให้หลานพี่ด่าเกดตรง ๆ ก่อนไหมละคะ ถึงจะได้อบรมสั่งสอนเขาเสียที”
“...ข้าขอโทษแทนปราบมันด้วย เอาไว้จะบอกให้นะ ว่าแต่เอ็งหิวหรือยัง เดี๋ยวข้าจัดจานให้”
“เกดเคยบอกไปแล้วว่าอย่ามาใช้กูมึง ข้าเอ็งกับเกด”
“อ่า พี่ขอโทษที”
“ค่ะ ขอบคุณพี่มากที่ดูแลเกดเป็นอย่างดีมาตลอด เกดรักเสี่ยเพชรนะคะ”
“อ้อนเอาอะไร” หนุ่มใหญ่วัยใกล้แตะเลขสี่มองภรรยาที่ห่างกันไม่เท่าไหร่ด้วยสายตารักใคร่ ยามเห็นหญิงสาวใช้ใบหน้างามแนบลงกับหลังมือข้างที่ว่างจากการเทน้ำดื่มใส่แก้วให้
นึกไปถึงวันที่เขาขอคนตรงหน้าแต่งงาน เราลำบากผ่านอะไรกันมาด้วยกันก็เยอะ การดูแลเช่นนี้ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร เนื่องจากเวลารักใครแล้วสิบเพชรพรรณรายณ์ก็มอบหัวใจให้ไปทั้งหมด
หรือจะพูดให้ถูกคือทั้งชีวิตนี้เขาก็รักแค่เกศินีมาตลอด
“รู้ทันตลอดเลย”
“ว่ามาสิ ถ้าให้ได้พี่ก็จะให้”
“เพื่อน ๆ เกดมาจากกรุงเทพค่ะ เลยจะนัดทานข้าวกันในตัวเมืองแล้วดื่มต่อ พี่จะขออนุญาตไหมคะ แต่ถ้าไม่ให้ไปยังไงเกดจะได้รีบโทรไปบอกเพื่อนให้ไม่ต้องรอค่ะ”
“เพื่อนสมัยเรียนที่นั่นเหรอ”
“ใช่ค่ะ กว่าจะหาเวลามาเจอกันได้ไม่ง่ายเลย เพราะหลายคนก็แต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว”
“ไปเถอะ พี่จะห้ามเกดทำไม แค่ไปเจอเพื่อนเองไม่ใช่เหรอ”
“เย้ ขอบคุณเสี่ยมากเลยค่ะ เกดให้รางวัลเป็นการจุ๊บหลังมือสิบทีดีไหม”
นัยน์ตาคมทอดมองภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวให้กิจการใหญ่มั่นคงมากขึ้นด้วยความอ่อนโยน ทว่าลึก ๆ ของก้นบึ้งหัวใจเวลานี้กลับไม่มีใครที่คาดจะหยั่งถึง
“นี่เป็นครั้งสุดครั้งที่ข้าจะเชื่อเอ็ง”
“เมื่อกี้เสี่ยพูดอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า เลิกหอมมือพี่แล้วทานข้าวสักที”
ใจกลางมหานครยังมีความวุ่นวายอยู่ทุกซอกทุกมุม เช่นเดียวกันกับบริษัทเอกชนที่พนักงานในฝ่ายต่าง ๆ กำลังให้ความสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ถ้าคุณไม่ไล่อีนังนี่ออก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
ความชาบนแก้มไม่ได้มาจากแรงกระแทกถูกตบหน้าหันเมื่อสักครู่ ในสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังเข้าใจว่า ‘บัวหอม’ ผิด แต่มันมาจากประโยคที่ได้ยินคำว่าไล่ออกต่างหาก
เธอเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่หมาด ๆ จากความสามารถจึงได้เข้ามาทำงานในบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่โต หากแต่ทำไปไม่กี่เดือนหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกว่ามีคนจับจ้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันนี้ได้มีโอกาสเข้าพบหัวหน้าเป็นการส่วนตัว
ตอนแรกบัวหอมคิดว่าตนเองคงจะทำอะไรผิดพลาดจึงโดนเรียกมาตักเตือน แต่ไม่เลย ชายหนุ่มชวนเธอคุยนอกเหนือจากขอบเขตของงาน ทั้งยังบอกอีกว่าจะเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่อย่างเธอกันสองต่อสองเพราะมีบางอย่างจะเสนอให้
นาทีนั้นสามารถรู้ได้ทันทีว่าเขาคิดยังไงกับเธอ จึงขอตัวพยายามบ่ายเบี่ยงจะออกไปจากห้อง แต่ชายตัณหากลับก็พุ่งเข้ามากอดรัดบัวหอมจากทางด้านหลังเอาไว้เสียก่อน
นั่นเลยเป็นภาพที่ภรรยาเจ้านายเข้ามาพบเห็นพอดี ฝ่ามือหนัก ๆ ของหล่อนจึงประเคนเข้าหาโดยไม่ถามไถ่เหตุผล ทั้งตอนนี้ยังขู่สามีให้ไล่เธอออก ตกลงใครเป็นเหยื่อกันแน่ หึงหวงหน้ามืดตามัวอย่างไรก็ควรหาความจริงก่อนไม่ใช่หรือ
“หนูไม่ผิดค่ะ คุณจะมาไล่ออกได้ยังไงคะ เป็นสามีคุณต่างหากที่ลวนลามหนู กล้องในห้องก็มี”
“เธอจะบ้าหรือยังไง ฉันไม่ได้ตาต่ำขนาดที่ว่าจะเอากับเด็กบ้านนอกคอกนาอย่างเธอหรอกนะ”
“เด็กบ้านนอกเหรอคะ...” ตอนแรกเธอกะว่าจะคุยกันด้วยเหตุผล ทว่าพอได้ยินคำเหยียดทั้งยังคิดว่าคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้แล้วหญิงสาวที่ยังมีความเลือดร้อนอยู่เลยพยุงตัวเองลุกขึ้นจากแรงตบก่อนหน้าแล้วเข้าไปกระชากหัวของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้ากระแทกเข้ากับพนังห้องด้วยความสุดจะทน
“ว้าย! อีเด็กบ้า แกทำอะไรสามีฉัน รปภ.ไปมุดหัวอยู่ไหนกันหมด มาลากคอมันออกไปเดี๋ยวนี้”
“ถ้าแค่นี้ยังดูแลกันให้เป็นคนดีไม่ได้ เดี๋ยวหนูจะสั่งสอนให้เองค่ะ”
ความชุลมุนวุ่นวายเริ่มขึ้นในห้องของหัวหน้าทันที กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็สะบักสะบอมกันไปทุกฝ่าย บัวหอมยอมรับว่าตัวเองใจร้อน แต่จะให้เธอทำอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มใช้ความรุ่นแรงก่อน ทั้งยังเอาแต่กล่าวโทษเธออยู่แบบนั้น
“กล้องวงจรปิดก็มีบัวหอม เธอไม่น่าไปตบตีกับพวกเขาแบบนั้นเลย แล้วนี่จะไปไหน ฉันเป็นรุ่นพี่ในแผนกนะ เคารพนับถือกันบ้าง!”
“ลาออกค่ะ เมียเขาเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทไม่ใช่เหรอคะ ยังไงหล่อนก็ต้องเข้าข้างผัวตัวเองอยู่แล้ว”
“บัวโว้ย เอาจริงดิ”
“ค่ะ ก็ทะเลาะวิวาทกันไปขนาดนั้น โชคดีนะคะ ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา ยังไงหนูก็ว่าจะลาออกไปอยู่บ้านนอกอยู่แล้ว ดีหน่อยที่เรื่องวันนี้ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น”
TBC.
ตอนแรกมาเสิร์ฟแล้วค่า
เสี่ยมีเมีย ส่วนยัยหนูของเราก็โดนหาว่าอ่อยหัวหน้าจนต้องออกจากงาน ชีวิตคนละฝากฝังจะบรรจบกันยังไงน้อ
ฝากคุณรี้ดกดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้น และคอมเมนต์กันเยอะ ๆ ด้วยนะคะ ตอนหน้าจะได้ตามมาเร็ว ๆ