เกริ่นนำ
“หลวงพ่อเจ้าขา ลูกขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าบุญกุศลใดที่ลูกเคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้ลูกได้พบเจอเนื้อคู่ที่ดี เป็นคนดี ที่เขารักลูกจริง ๆ และขอให้ลูกไม่ต้องแต่งงานกับหลวงหาญเลยนะเจ้าคะ แล้วถ้าเกิดว่า...หลวงหาญผู้นี้มิได้เป็นเนื้อคู่ของลูกแล้วไซร้ขอให้มีเหตุต้องแคล้วคลาดมิต้องครองคู่ ขอให้ออกไปจากชีวิตของลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ หลวงพ่อเจ้าขา สาธุ”
พริ้มพราวตั้งจิตอธิษฐานด้วยจิตตั้งมั่นต่อหน้าพระประธานในวัดที่เธอมาทำบุญเนื่องในวันเกิดอายุครบสิบแปดปีกับน้องสาวอีกสองคน
“พี่พราวเจ้าขา เมื่อกี้อธิษฐานขอสิ่งใดจากหลวงพ่อหรือเจ้าคะ น้องเห็นคุณพี่นั่งอธิษฐานอยู่ตั้งนานสองนาน” เพราะพริ้งในวัยสิบหกปีทักขึ้น เมื่อเห็นพริ้มพราวพี่สาวคนโตเดินตรงเข้ามาหาด้วยท่วงท่างามระหงกิริยาชวนมอง ชายสไบสีกลีบบัวพลิ้วไสวตามแรงลม ผมทรงมหาดไทยดำงามสลวยปล่อยสยายยาว รอยยิ้มหวานบนใบหน้ารูปไข่นั้นยิ่งทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างจ้องมองความงามนั้นราวกับตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด
“มิมีอันใดดอกแม่พริ้ง พี่ก็แค่อธิษฐานขอเนื้อคู่น่ะจ้ะ” น้ำเสียงหวานของพี่สาวตอบอย่างใจดี
“พุทโธ่ ก็หลวงหาญนั่นปะไรล่ะเจ้าคะ ที่คอยมาเทียวไล้เทียวขื่อแวะเวียนมาที่บ้านเราบ่อย ๆ น้องว่าหลวงหาญผู้นี้คงอยากออกเรือนกับคุณพี่จนใจจะขาดแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เพราะพริ้งใบหน้างอง้ำไม่ค่อยชอบใจคู่หมายของพี่สาวตัวเองเท่าไรนัก
“ก็ช่างเขาปะไรล่ะจ๊ะ พี่มิได้อยากออกเรือนกับเขานี่นา ถ้าเขาอยากจะแต่งก็ให้เขาแต่งไปคนเดียวเถิด” พริ้มพราวอดจะมีอารมณ์คุกรุ่นไม่ได้เมื่อหวนนึกถึงบุรุษที่ไม่ชอบหน้า
“คุณพระ! น้องก็เพิ่งเคยได้ยินพี่พราวว่าคนเป็นคราแรกนี่แหละเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ หากหลวงหาญเข้ามาทำอะไรพี่พราวล่ะก็รีบบอกน้องนะเจ้าคะ พริ้งจะจัดการให้เอง” เพราะพริ้งพูดอย่างหมายมั่นปั้นมือเมื่อนึกถึงว่าที่พี่เขยที่ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไรนัก
“แม่พริ้ง...แต่จันทร์ว่าคุณหลวงเขาก็ดูเป็นคนดีมีมารยาทออกนะ เวลาเขามาที่บ้านเราทีไรก็มักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาเสมอ แม่พริ้งเองก็ชอบมิใช่รึ?” จันทร์พิลาศลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกับเพราะพริ้งซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกันตั้งแต่เด็กขัดขึ้น
“พุทโธ่จันทร์ก็ ที่ฉันชอบน่ะชอบของฝากหรอกนะ เขาให้มาไม่ต้องเสียอัฐสักแดงใครเล่าจะมิชอบ แต่เจ้าตัวคนให้น่ะอีกเรื่องนึงนะ เพราะคนอย่างฉัน คนไหนที่พี่พราวไม่ชอบ ฉันก็ไม่ชอบด้วย คนไหนพี่พราวรัก ฉันก็รักด้วย มิว่าอย่างไร ฉันก็เข้าข้างพี่พราวอยู่วันยังค่ำ ไม่เหมือนแม่จันทร์ดอกที่เข้าข้างศัตรู”
“อ้าวแม่พริ้ง กล่าวหาฉันเสียแล้ว ฉันมิได้เข้าข้างศัตรูเสียหน่อย ฉันเพียงแต่คิดว่า หลวงหาญผู้นี้เขาดูเป็นคนดี หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสุภาพเรียบร้อยดูมีสัมมาคารวะ ไหนจะฐานะครอบครัวอีกเล่าที่เป็นถึงบุตรชายคนโตของพระยาวิจิตรประจักษ์ที่มิว่าจะดูเช่นไรก็เหมาะสมกับพี่พราวราวกับกิ่งทองใบหยก ยังมิรวมตำแหน่งคุณหลวงที่ได้มาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นอีก ในอนาคตหากพี่พราวได้แต่งงานกับหลวงหาญละก็ ตำแหน่งคุณหญิงพราวต้องอยู่ไม่ไกลแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” คำโต้เถียงกันของน้องสาวทั้งสองคนทำให้พริ้มพราวหัวเราะร่วนออกมาก่อนจะรีบพูดขัดขึ้น
“พอแล้วทั้งสองคน เลิกโต้เถียงกันได้แล้ว พี่ยังมิได้รีบออกเรือนในตอนนี้ดอก แล้วเจ้าทั้งสองคนก็มิต้องรีบไล่ให้พี่รีบออกเรือนไปไหนด้วย พี่จะอยู่เช่นนี้กับน้อง ๆ ไปนาน ๆ เลยดีไหมล่ะจ๊ะ”
“ดีเจ้าค่ะ”
ทั้งสามสาวหัวเราะกันคิกคักอย่างสนุกสนานขณะที่กำลังเดินเคียงกันมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าประตูวัดพุทไธสวรรค์โดยมีบ่าวไพร่เดินตามมาติด ๆ
ตลาดเช้าในพระนครเพลานี้คลาคล่ำไปด้วยร้านค้าแลผู้คนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย ตลาดแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองอโยธยา โดยมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้ริมแม่น้ำทำให้การเดินทางสัญจรไปมาสะดวกรวดเร็ว
“พี่พราวเจ้าคะ ไหน ๆ เราก็ทำบุญเสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเดินเที่ยวตลาดกันสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ” เพราะพริ้งในวัย 16 ปีเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย
“ได้สิจ๊ะ ว่าแต่เราน่ะอยากจะไปเที่ยวซนใช่ไหมล่ะ พี่รู้ทันดอกนะแม่พริ้ง”
“แหม พี่พราวละก็ พริ้งก็แค่อยากจะไปดูของแปลก ๆ ทางโน้นบ้างน่ะเจ้าค่ะ ไหน ๆ เราก็ออกมาทำบุญไหว้พระในวันเกิดของพี่พราวทั้งที ครั้นจะรีบกลับเรือนก็กระไรอยู่นะเจ้าคะ” จบประโยค น้องสาวก็หันไปพยักเพยิดกับจันทร์พิลาศอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย
“นั่นสิเจ้าคะพี่พราว ไหน ๆ เราก็ออกมาทั้งที แวะไปเดินเที่ยวกันอีกสักครู่เถิดเจ้าค่ะ จันทร์เองก็อยากจะไปเดินดูผ้าแพรด้านโน้นเหมือนกัน เห็นเขาว่ามีผ้าลายใหม่เข้ามางามนักหนาเจ้าค่ะ พี่พราวไปดูด้วยกันไหมเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ น้อง ๆ ตามสบายเลย พี่ว่าจะไปเดินดูของกินด้านนั้นเสียหน่อย”
“เยี่ยงนั้นเราค่อยเจอกันนะเจ้าคะคุณพี่ ปะจันทร์”
เพราะพริ้งพูดอย่างร่าเริงก่อนจะพาจันทร์พิลาศเดินลับหายไปอีกทางท่ามกลางฝูงคนทิ้งให้พริ้มพราวยืนยิ้มมองตามหลังกับความซุกซนของน้องสาวสุดที่รัก
พริ้มพราวธิดาคนโตของพระยาคมฉกรรจ์กับคุณหญิงแพรพิไล เธอเป็นแม่หญิงที่ผู้คนทั่วพระนครต่างเล่าขานถึงความงามอันยากจะหาผู้ใดเปรียบ งามทั้งรูปกาย งามทั้งสมบัติ งามทั้งกิริยาวาจา จนมีชายหนุ่มหลายคนอยากจะฝากตัวเป็นบุตรเขยของพระยาคมฉกรรจ์
หากความดุของท่านพระยานั้นมีมากจนมิมีผู้ใดกล้าที่จะเข้าใกล้นอกจากหลวงหาญณรงค์เพียงผู้เดียว ด้วยว่าเขานั้นเป็นบุตรชายของพระยาวิจิตรประจักษ์ที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างสนิทสนมกัน อีกทั้งยังได้มีการพูดคุยกันไว้นานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลวงหาญณรงค์ผู้นี้แม้จะคอยไปมาหาสู่หญิงสาวอยู่บ่อยครั้งหากก็มิเคยเอาชนะใจได้เลยแม้สักนิดเดียว
“เราไปทางนั้นกันเถอะพี่ชื่น”
พริ้มพราวบอกบ่าวคนสนิทที่คอยดูแลมาตั้งแต่ยังเล็ก ขณะที่เธอก็รีบสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปอีกทางราวกับกำลังหนีใครบางคน
“แม่หญิงพราวเจ้าคะ ทำไมต้องรีบเดินด้วยล่ะเจ้าคะ แล้วทำไมแม่หญิงต้องทำท่าหลบ ๆ ซ่อน ๆ เยี่ยงนี้ด้วยล่ะเจ้าคะ”
ชื่นถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นกริยานั้นของผู้เป็นนาย ทว่าแทนที่หญิงสาวจะตอบ เธอกลับชี้มือไปยังหลวงหาญณรงค์ที่กำลังยืนหันซ้ายแลขวาท่ามกลางคนหมู่มากซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนักโดยมีดินบ่าวคนสนิทของเจ้าตัวเดินตามหลังมาไม่ห่าง
“ตายแล้วหลวงหาญ! บ่าวนึกแล้วเชียวว่าคุณหลวงต้องมาตามหาแม่หญิงที่วัดแน่เลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ปล่อยเขาตามหาไปเถิด ฉันมิอยากเจอหน้า พี่ชื่นเราหลบไปด้านโน้นกันเถอะ” ขณะที่หญิงสาวกำลังรีบหนีหลวงหาญณรงค์อยู่นั้น เสียงเรียกชื่อเธอก็ดังแว่วมา
“แม่พราว แม่พราว”
“ตายแล้วแม่หญิง หลวงหาญเห็นเราแล้วเจ้าค่ะ ทำเยี่ยงไรดีล่ะเจ้าคะ” ชื่นถามด้วยความกังวลขณะที่ก้าวเท้าตามผู้เป็นนายไปติด ๆ พลางหาวิธีช่วยนายสาวของตน
“แม่หญิงเจ้าขาบ่าวว่า... แม่หญิงไปรอบ่าวที่ท้ายวัดนะเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวจะเดินหลอกล่อหลวงหาญให้ไปอีกทางนะเจ้าคะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำก่อนจะรีบรุดเดินหลบไปอีกทางท่ามกลางผู้คนที่หนาแน่นขณะที่สายตาก็คอยสังเกตร่างสูงของหลวงหาญณรงค์ที่กำลังเดินไปอีกด้านตามการล่อหลอกของชื่นที่ดูเหมือนว่าจะได้ผล
“เฮ้อ! แผนของพี่ชื่นนี่ได้ผลดีเหมือนกันนะ”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาโล่งอก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเพลานี้ตนเองเดินออกมาจนเกือบสุดปลายทางของตลาดอีกด้านที่มีร้านค้าหลงเหลือเพียงไม่กี่ร้านผู้คนที่เคยหนาแน่นก็บางตาลง